HAPPENING BKK
NLINE MAGAZINE
×
จากภาพถ่ายกลายเป็นภาพเขียน
by โลจน์ นันทิวัชรินทร์
9 มี.ค. 2563, 16:08
  1,914 views

        ในฐานะนักเดินทางที่ชอบการบันทึกภาพและเรื่องราวเพื่อนำมาถ่ายทอดให้ผู้อื่นได้รู้จักดินแดนแปลกใหม่ที่ยังเป็นปริศนา ความสุขของผมเริ่มตั้งแต่วินาทีที่ได้ลงมือเขียน และก็ยิ่งทวีคูณขึ้นเมื่อได้เผยแพร่ และยิ่งกว่าทวีคูณก็เมื่อผมทราบว่าทั้งรูปและเรื่องราวเหล่านั้นได้สร้างพลังใจอะไรบางอย่างกับผู้ที่ได้เสพ

        ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาหลายปี ภาพถ่ายหลายรูปได้กลายร่างมาเป็นภาพเขียนของศิลปินหญิงผู้หนึ่ง น้องต้อย มัชมน เฉิน คือศิลปินผู้นั้น ที่นำภาพถ่ายของผมไปแปลงร่างเป็นภาพสีน้ำอย่างละเอียดและสวยงาม เธอคือแม่บ้านฟูลไทม์ที่หลงเสน่ห์ของการวาดภาพด้วยสีน้ำ และฝึกวาดด้วยตัวเอง เพื่อตามหาฝันที่หล่นหาย น้องต้อยทำงานศิลปะมานานกว่าปีที่ 5 จนมีผลงานปรากฏใน Facebook เพจ ToyR>art และ Instagram นามว่า toyrart และมีทีท่าว่าความหลงไหลในการวาดรูปนี้จะคงทนไปจนวันที่เธอจับพู่กันไม่ไหว

        “ต้อยวาดภาพถ่ายพี่เพราะอะไรเหรอ?” ผมถามเธอด้วยความดีใจและอยากรู้

        “ต้อยชอบภาพวิถีชีวิตผู้คนมาก ค่ะ ชอบเดินตลาด ชอบงานทำมือ ชอบวิถีพื้นบ้าน ยิ่งหลากหลายยิ่งรู้สึกว่ามันมีเสน่ห์ ส่วนตัวเองไม่มีโอกาสได้เดินทางบ่อยนักเพราะข้อจำกัดในชีวิต เลยอาศัยอ่านเรื่องราวของนักเดินทางอย่างพี่ ยิ่งพออ่านก็ยิ่งอินจนอยากถ่ายทอดเรื่องราวที่ประทับใจในแบบที่ตัวเองถนัด เธอตอบ

         ทุกภาพมีเรื่องราวเสมอ ผมหวังว่าเรื่องราวที่ได้รับการถ่ายทอดด้วยสำนวนภาพและสำนวนเล่าจะสร้างพลังใจให้ทุกท่านเช่นกัน มาลองตามไปชมแกเลอรี่ภาพนี้ไปพร้อม ๆ กันนะครับ

ภาพ Busy Fingers หญิงสาวสานเสื่อ หมู่บ้านอึมเบยา ประเทศมาลาวี

 

       ที่ประเทศมาลาวีมีหมู่บ้านอึมเบยา (M’beya) ที่ชาวบ้านแสนจะขี้อาย พวกเขาไม่ชอบให้ใครถ่ายรูป คนชอบถ่ายรูปอย่างผมเลยต้องพยายามสะกดใจไม่ยกกล้องขึ้นมาถ่ายภาพใด ๆ ทั้ง ๆ ที่มีภาพชีวิตชาวบ้านที่งดงามน่าบันทึกไว้มากมาย ความพยายามของผมสิ้นสุดลงเมื่อมาเจอเธอผู้นี้... ผู้ที่ผมก็ต้อง (แอบ) เก็บภาพมาได้ด้วยอาศัยทีเผลอ

        วันนั้นเธอมาชวนผมไปที่ชานบ้านเพื่อดูเธอสานเสื่อ เธอทำอย่างตั้งใจมาก ๆ นิ้วของเธอเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วบนแผ่นเสื่อที่ค่อย ๆ เป็นรูปเป็นร่างด้วยฝีมือทออันปราณีต แสงกำลังสวยและเธอกำลังมีสมาธิ ผมอยากถ่ายภาพเธอเก็บไว้มาก ๆ แต่ถ้าหากผมบอกเธอไปตรง ๆ มนุษย์ขี้อายอย่างเธอต้องไม่ยอมและต้องเสียสมาธิแน่ ๆ ผมเลยแอบถ่ายภาพนี้ไปโดยไม่บอกไม่กล่าว และนี่จึงเป็นรูปเดียวที่ผมถ่ายโดยไม่ขออนุญาตเจ้าของภาพ แต่เมื่อถ่ายเสร็จและผมยื่นภาพที่แอบถ่ายให้เธอดู

        “ชอบ ชอบภาพนี้มาก เธอพูดออกมาอย่างจริงใจ และนั่งมองภาพนี้อยู่นาน

        ถ้าคนขี้เขินอย่างเธอได้เห็นภาพวาดที่เธอเป็นแบบด้วยเช่นนี้ ผม (แอบ) คิดว่าเธอคงนั่งจ้องอยู่นาน แล้วพูดซ้ำ ๆ ว่า ชอบ ชอบภาพนี้มาก เช่นกัน

ภาพ Flowers of Havana กรุงอาบาน่า ประเทศคิวบา

        บ่ายวันอากาศร้อนวันหนึ่ง ผมเจอเธอในเขต บีเอฆ่า อาบาน่า” (Vieja Havana) อันเป็นเขตเมืองเก่าของเมืองหลวงคิวบาแห่งนี้

        “1 CUC ใครไม่จ่าย ห้ามถ่ายเธอแว้ดมายังกลุ่มนักท่องเที่ยวในขณะที่ผมกำลังจด ๆ จ้อง ๆ เพื่อจะขออนุญาตถ่ายภาพของเธอ และมันทำให้ผมแอบคิดว่าไม่จ่ายมีเจ็บแน่ ๆ ผมก็เลยเลือกจ่ายเธอไปเสียดี ๆ

        เงิน 40 บาทกับการถ่ายภาพเธอนั้น ผมว่าคุ้มมาก ๆ เพราะเธอเล่นใหญ่เกินราคา

        “บิดซ้ายไหมคะเซนยอร์? บิดขวาก็ได้นะ.. จะให้หัวเราะหรือไม่คะ? ยังไงดี บอกมาเลย หุ หุ หุตอนนี้เธออารมณ์ดี๊ดี

        แต่ผมเลือกคุยกับเธอไปเรื่อย ๆ แล้วก็กดภาพไปเรื่อย ๆ เวลาเธอเล่นเป็นตัวเธอนั้นมันจริงกว่าเยอะ

        รูปของเธอปรากฏในงานเขียนของผมทุกชิ้นที่ผมเขียนเกี่ยวกับอาบาน่า ไม่ว่าใน Happening BKK หรือนิตยสารออนไลน์ฉบับไหน ๆ ก็ตาม รวมทั้งปก Podcast ที่มีผู้ชวนผมให้มาคุยเกี่ยวกับเรื่องคิวบาให้ฟัง

       ตอนนั้นผมคิดว่าเธอเป็นเหมือนดอกไม้ที่ประดับมุมต่าง ๆ ของเขตเมืองเก่าอาบาน่า ไม่ใช่แค่เสื้อผ้าที่สดใส แต่รวมทั้งความแว้ด ความแจ๊ด ความร่าเริง และเรื่องราวของเธอ

        น้องต้อยได้ติดต่อมาเพื่อขอนำภาพถ่ายภาพนี้ไปวาดด้วยสีน้ำ และต่อมาผมก็ได้ทราบว่าภาพ Flowers of Havana นี้ได้ได้นำไปจัดแสดงในงาน Fabriano in Aquarello (Fabriano in Watercolour) ในอาคารโบราณสุดคลาสสิค ณ เมืองฟาบริอาโน ประเทศอิตาลี ท่ามกลางผลงานของศิลปินมืออาชีพจากทั่วโลกรวมทั้งศิลปินไทยอย่างน้องต้อยด้วย

        เกินคุ้ม 40 บาทแล้วครับ...

ภาพ Mafalala สลัมแห่งกรุงมาปูตู ประเทศโมซัมบิก

       ในสมัยที่ปอรตุเกสยังปกครองโมซัมบิกอยู่นั้น เมืองมาปูตูมีชื่อว่า ลอเรนซู มารเกช” (Lourenço Marquês) และเมืองหลวงแห่งนี้ได้แบ่งพื้นที่ออกเป็นสองส่วนหลัก ๆ

       ส่วนแรกคือย่านคนขาวที่สงวนไว้สำหรับคนผิวขาวอย่างชาวปอรตุเกสเจ้าอาณานิคมเท่านั้น และเรียกขานกันง่าย ๆ ด้วยภาษาปอรตุเกสว่า Cidade de Cimento (ซีด๊าดดึ ดือ ซีเมนตู้) สาเหตุที่ชาวเมืองขนานนามย่านนี้ว่าเป็น “เมืองซีเมนต์” ก็เพราะสิ่งก่อสร้างในบริเวณนี้ทั้งหมดล้วนทำจากซีเมนต์ ก่ออิฐถือปูนจนโอ่โถง อลังการและงดงาม นอกจากนี้ยังเป็นย่านที่ตั้งอยู่ริมมหาสมุทรอันนับว่าเป็นพื้นที่ที่ดีที่สุดอีกด้วย

        ส่วนอีกย่านหนึ่งนั้นเรียกว่า Cidade de Caniço (ซีด๊าดดึ ดือ กานิซู) อันเป็นย่านของคนผิวสี ชาวแอฟริกันผู้เป็นเจ้าของประเทศมาตั้งแต่โบราณกาล คำว่ากานิซู (Caniço) นั้น เป็นศัพท์ภาษาปอรตุเกสที่มีหมายความว่าต้นกก เพราะสิ่งก่อสร้างในย่านนี้ล้วนทำมาจากต้นกกอันเป็นวัตถุดิบพื้น ๆ ที่ไม่คงทนถาวรอย่างซีเมนต์ การกำหนดให้บ้าน หรือสิ่งก่อสร้างใด ๆ สร้างขึ้นด้วยต้นกกนั้นก็เป็นกฏหมายที่บัญญัติขึ้นโดยปอรตุเกสในสมัยอาณานิคม ทั้งนี้เพราะหากเมื่อใดก็ตามที่ประชากรชาวปอรตุเกสที่อาศัยอยู่ในย่านคนขาวเริ่มเพิ่มจำนวนขึ้นจนแน่นขนัด และจำเป็นต้องขยายพื้นที่ให้กว้างขวางขึ้นออกไปแล้วล่ะก็ การรื้อถอนบ้านที่ทำจากต้นกกของคนผิวสีก็จะทำได้อย่างง่ายและรวดเร็ว

      และในที่สุด... ชาวแอฟริกันผู้เป็นเจ้าของดินแดนนี้ก็ต้องถอยร่นออกไปเพื่อหลีกทางให้คนขาวอีกครั้ง

      สำหรับชาวแอฟริกันนั้น การจะเดินข้ามเขตมาสู่ย่านคนขาวนั้นทำไม่ได้โดยเด็ดขาด ใครฝ่าฝืนมีโทษสถานหนัก จะมีเฉพาะบางคนที่นับเป็นกรณียกเว้นด้วยมีเหตุผลอันสมควร เช่น มาเป็นแรงงานในการก่อสร้าง มาทำความสะอาด หรือมารับใช้เจ้านายผิวขาว เป็นต้น และเมื่อเสร็จภารกิจในแต่ละวันแล้วก็ต้องรีบกลับไปถิ่นเดิมของตนในเวลาค่ำโดยไม่สามารถค้างคืนในพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ได้ และก่อนจะข้ามเขตมานั้น ก็ต้องมีเอกสารอนุญาตอย่างถูกต้องจากทางการปอรตุเกสที่มาพร้อมกับกฏยิบย่อยอีกหลายประการ เช่นต้องเข้ารีตประกาศตนเป็นคาธอลิก ต้องพูดภาษาปอรตุเกสได้อย่างดี ต้องแต่งตัวแบบชาวยุโรป และต้องมีกิริยาที่เหมาะสม

      ปัจจุบันนี้ต้นกกได้หายไปกลายเป็นบ้านไม้ผสมสังกะสีผุ ๆ พัง ๆ ที่เรียงรายอยู่ในเขตสลัมที่เรียกขานกันว่ามาฟาลาลา (Mafalala) ให้เราได้รำลึกถึงอดีตและการต่อสู้เพื่อเอกราชของประเทศนี้

ภาพ Ready for The Show ชุมชนหะเฮงเสีย กรุงเทพ ประเทศไทย

       ค่ำวันหนึ่งในปลายเดือนพฤศจิกายนเมื่อปีก่อน ขณะที่ลมหนาวพัดมาเบา ๆ ที่ชุมชนหะเฮงเสียในซอยเจริญกรุง 29 ก็ได้จัดให้มีพิธีบูชาทีกง ผู้เป็นเทพเจ้าแห่งสรวงสวรรค์ซึ่งจะมีการแสดงงิ้วติดต่อกันทุกวันตั้งแต่ตอนหัวค่ำไปจนดึกถึง 5 วันติด โดยการแสดงในวันแรกวันนี้จะเป็นของคณะเตี่ยเกี๊ยะอี่ไล้เฮง

       อาเจีย ผู้จัดการงิ้วคณะนี้ ได้กรุณาอนุญาตให้ผมตะลุยไปถึงด้านหลังเวทีระหว่างที่ตัวแสดงกำลังแต่งหน้าแต่งตา เตรียมพร้อมสำหรับการแสดงในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า ภาพที่ปรากฏอยู่เป็นภาพที่สวยงามมาก ๆ แสงไฟสีนวลจับลงพี่ ๆ นักแสดงที่กำลังวาดสีสวย ๆ ลงบนใบหน้าตัวเอง ผมรีบขออนุญาตถ่ายภาพอย่างอดใจไม่ไหว เป็นภาพที่ผมชอบมาก ๆ และนักแสดงทุกท่านก็อนุญาตผมอย่างเต็มใจ

       “พี่ แต่งหน้ากันไปเรื่อย นะครับ ผมขอบันทึกภาพหน่อยครับ อย่าเกร็งนะครับ ผมรีบบอกทุกคนพร้อมถ่ายภาพไปเรื่อย ๆ พี่สาวท่านหนึ่งกำลังแต่งทรงผมด้วยวัสดุอะไรบางอย่างที่เป็นของเหลวหนืดเหนียว มันคืออะไรกันหนอ?

       “อันนี้เรียกว่าหลาเต๊า เป็นกึ่งครีม กึ่งเจล กึ่งแป้งเปียกใช้แต่งผม ติดวิก... สั่งมาจากเมืองจีนเลยนะคะ คุณพี่อธิบายพร้อมกับแต่งผมและแต่งหน้าอย่างคล่องแคล่ว และเมื่อการแสดงสำคัญเริ่มขึ้น ผมก็ได้ยินเสียงโห่ร้องอย่างดีใจของพี่ ๆ น้อง ๆ อากง อาม่า ในชุมชนเล็ก ๆ แห่งนี้

       ผมคิดว่าความสัมพันธ์ของคนในชุมชนเป็นสิ่งสำคัญในการที่จะร่วมกันรักษาและต่อยอดวัฒนธรรมดี ๆ ให้คงอยู่สืบไป ไม่ว่าการแสดงความเคารพบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตามความเชื่อที่สืบทอดกันมาตั้งแต่บรรพชน รวมทั้งการต่อลมหายใจของการแสดงอย่างงิ้วให้คงอยู่สืบไป

        ส่วนภาพวาด Ready for The Show นี้ได้นำไปจัดแสดงในนิทรรศการของกลุ่มศิลปินสีน้ำไทย สถานเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงมอสโคว์ ประเทศรัสเซียในปีนี้ครับ

ภาพ Romantic Trinidad เมืองตรินิแดด ประเทศคิวบา

        ที่ตรินิแดด เมื่ออิ่มท้องกับอาหารค่ำก็อย่ารีบทำตัวเหงา ๆ กลับไปนอนหงอย ๆ กันแต่หัวค่ำ ควรจะเดินลัดเลาะไปตามมุมต่าง ๆ ของเมืองโบราณอายุกว่า 500 ปีแห่งนี้

        เมืองอะไรไม่รู้.... สวยสุดใจขาดดิ้นไปเสียทุกมุม

        ดนตรีไพเราะของคิวบาลอยมาจากทุกทิศทุกทาง เสียงสแปนิชกีตาร์หวานช่างสอดประสานกับกลองแอฟริกันอย่างลงตัว ถนนอิฐที่เป็นดั่งเขาวงกดพาผมลัดเลาะไปตามอาคารเก่า ๆ ที่สวยงามอายุนับร้อย ๆ ปี แสงไฟสีเหลืองนวลที่ส่องอาคารและถนนอิฐนั้นดูโรแมนติก ยิ่งผมเดินย่ำต่อไปเรื่อย ๆ เรื่อย ๆ ผ่านโบสถ์ วิหาร บ้านเรือนเก่า ๆ ทรงสแปนิชโคโลเนียล พร้อมกับฟังเสียงเท้าตัวเองที่ย่ำต๊อกไปบนอิฐ ผ่านอาคารสวย ๆ เหล่านั้น ก็ยิ่งทำให้ผมยิ่งรู้สึกหลงรักเมืองโบราณแห่งนี้อย่างถลำลึกขึ้นเรื่อย ๆ เรื่อย ๆ ถ้ามีใครสักคนมาเดินเคียงผมเพื่อดื่มด่ำกับเมืองสวยในยามราตรีเหมือนคู่ที่เดินเคียงกันอยู่ข้างหน้าก็คงจะดีไม่น้อยเลยทีเดียว

ภาพ Tz'utujil Lady with Her Tocoyal Headdress เมืองซานเปโดร ประเทศกัวเตมาลา

 

        เมื่อได้เห็นเหรียญ 25 เซนตาโบส (Centavos) ของประเทศกัวเตมาลาที่ปรากฏภาพสลักเป็นรูปหญิงพื้นเมืองชาวมายันที่โพกผมด้วยสไตล์อันเป็นเอกลักษณ์ ผมเกิดความคิดในวินาทีนั้นทันทีว่าผมอยากตามหาผู้หญิงเผ่านี้ให้พบ และผมก็ตามหามาพบเธอจนได้ที่เมือง ซาน ฆวน ลา ลากูน่า (San Juan La Laguna) ริมทะเลสาบอะติตะลัน (Atitlán) ประเทศกัวเตมาลา

       คุณป้าใจดีได้กรุณาสาธิตวิธีการโพกผ้าแบบมายันเผ่าซูตูจิล (Tz'utujil) พร้อม ๆ กับคำอธิบายความหมายและที่มาที่ไปของการโพกผ้าในวิธีนี้ ซึ่งผมคิดว่าน่าสนใจมาก ๆ และผมขอสรุปมาเป็นข้อมูลไว้ตรงนี้นะครับ

       ผ้าที่โพกหัวนั้นเรียกว่าโตโกยาล (Tocoyal) ซึ่งจะยาวทั้งสิ้น 20 เมตร เมื่อโพกผมแล้วจะทบกันเป็นวงซ้อนต่อ ๆ กันไปจนนับได้ 20 วง โดยจะเว้นพื้นที่ศีรษะของผู้โพกให้โผล่ขึ้นมาอยู่ตรงกลาง

       คำถามแรกก็คือทำไมต้องเป็นเลข 20? คำตอบคือ เพราะเลข 20 คือจำนวนวันใน 1 เดือนตามปฏิทินจันทรคติของมายัน และเลข 20 ยังหมายถึงมนุษย์ที่เป็นสัตว์ประเสริฐด้วย เพราะมนุษย์เรามี 10 นิ้วมือรวมกับ 10 นิ้วเท้าที่มีการเคลื่อนไหวอย่างพิเศษต่างจากสัตว์อื่น ๆ

       คำถามต่อมาคือทำไมผ้าที่ใช้โพกต้องเป็นสีแดง? คำตอบก็คือ เพราะสีแดงคือสีที่แสดงพลัง แสดงการดำรงอยู่ ร่วมถึงการมีชีวิตและความรุ่งโรจน์ และที่ต้องเว้นพื้นที่ให้ศีรษะให้โผล่มาตรงกลางนั้นก็เพื่อต้องการสื่อว่าสรรพสิ่งทั้งหลายล้วนมีดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางของจักรวาล และดวงอาทิตย์คือผู้ให้พลังชีวิตนั่นเอง

        ผมไม่แน่ใจว่าในปัจจุบันนี้จะเหลือชาวเผ่าซูตูจิลสักกี่คนที่ยังยึดมั่นการแต่งกายตามวิถีดั้งเดิมอย่างครบถ้วนแบบคุณป้าท่านนี้ เธออาจเป็นเพียงคนเดียวก็ได้ เพราะผมไม่เห็นใครอีกแล้วที่แต่งกายอย่างเธอ ผมได้แต่หวังว่าจะยังคงมีอีกต่อไป

ภาพ African Lady เกาะอีย่า ดือ โมซัมบิก ประเทศโมซัมบิก

 

        อีย่า ดือ โมซัมบิก (Ilha de Moçambique) เป็นเกาะสวยที่อยู่ประชิดติดชายฝั่งประเทศโมซัมบิก ประเทศขนาดใหญ่ทางตะวันออกของทวีปแอฟริกา เกาะเล็ก ๆ แห่งนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นพื้นที่มรดกโลกโดยยูเนสโกมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1977 บนเกาะความยาว 3 กิโลเมตรแห่งนี้อัดแน่นไปด้วยอาคารเก่ามาตั้งแต่ศตวรรษที่ 15 ผสมผสานทั้งสถาปัตยกรรมยุโรป อาหรับและแอฟริกัน ที่นี่ก็มีทั้งโบสถ์คาธอลิก มัสยิด และวัดฮินดู

        เมื่อวาชกู ดา กามา (Vasco da Gama) นักสำรวจชาวปอรตุเกสเดินเรือข้ามทวีปจากยุโรปมาจนถึงแอฟริกาในปี ค.ศ. 1498 นั้น ดินแดนแห่งนี้ยังตกอยู่ใต้อาณัติของสุลต่านอาหรับนามว่า Ali Musa Mbiki และต่อมานาม มูซา อึมบิกินี้ได้กร่อนจนกลายมาเป็นคำว่าโมซัมบิกอันเป็นชื่อของประเทศมาตั้งแต่คริสตศตวรรษที่ 15 จวบจนปัจจุบัน

       อีย่า ดือ โมซัมบิก ไม่ได้มีความสำคัญในฐานะอดีตเมืองหลวงแห่งแรกของประเทศเท่านั้น เกาะเล็ก ๆ แห่งนี้คือจุดกำเนิดที่พัฒนาให้โมซัมบิกกลายเป็นดินแดนพหุสังคมที่ผสมผสานคนหลากเชื้อชาติและวัฒนธรรมเข้าไว้ด้วยกันเช่นวันนี้

       ท่ามกลางอาคารเก่าแก่ที่มีอยู่มากมายบนเกาะมรดกโลกแห่งนี้ บางอาคารยังสวยสง่าคงทน และอีกหลาย ๆ อาคารก็อยู่ในสภาพจะพังมิพังแหล่ แต่เชื่อหรือไม่ว่ามันยังใช้เป็นที่อยู่อาศัยของชาวเกาะ

        ผมพบเธอในบ่ายวันนั้น เมื่ออยู่ดี ๆ เธอก็เดินออกมาจากอาคารที่เป็นดั่งซากปรักหักพัง ถังน้ำสีเหลืองตัดกับผิวสีเข้มใบนั้นยังว่างเปล่า อีกไม่นานมันคงเต็มไปด้วยน้ำจืดจากบ่อน้ำที่ขุดอยู่แถว ๆ นั้น

        ภาพง่าย ๆ เช่นนี้แสนจะแอฟริก๊าแอฟริกาสำหรับผมจนต้องแอบกดชัตเตอร์ไปหนึ่งแชะแบบไม่ให้เธอรู้ตัว ....ก่อนที่ผมจะเดินทอดน่องท่องเกาะสวยแห่งนี้ต่อไป

ภาพถ่ายตุ๊กตุ๊กแห่งฟลอเรส เมืองฟลอเรส ประเทศกัวเตมาลา

        Isla de Flores เป็นเกาะ ปลอดภัย แห่งกัวเตมาลา การมาที่นี่จึงเป็นความสบายตัวและสบายใจอย่างยิ่งยวด หากใครมาเที่ยวภูมิภาคอเมริกากลางเพื่อตามรอยอารยธรรมมายัน โบราณสถานสำคัญที่ต้องถ่อไปดูคือที่โกปัน (Copán) ในประเทศฮอนดูรัสที่งามหยดย้อยจนได้รับการเปรียบเทียบว่าเป็นปารีสแห่งมายัน จากนั้นก็รีบข้ามแดนมายังประเทศกัวเตมาลาเพื่อมาชมติกาล (Tikal) ที่ใหญ่โตอลังการจนได้สมญานามว่าเป็นนิวยอร์คแห่งมายัน

        ฟลอเรสเป็นจุดพักที่ไม่ไกลจากติกาล… ผมเลยแวะมาตั้งหลักและพักผ่อนที่นี่

        เมืองดุ ๆ อย่างซุยดาด เด กัวเตมาลา (Ciudad de Guatemala) อันเป็นเมืองหลวงของประเทศนี้ทำให้ผมหวาดผวาพอสมควร ทุกที่ดูไม่น่าไว้ใจไปหมด หน้าร้านสะดวกซื้อมีลูกกรงแน่นหนาพร้อม ร.ป.ภ. ถือปืนอย่างเข้มงวด เดินไปไหนก็มีแต่คนมาเตือนให้ออกไปจากบริเวณนี้จนใจฝ่อ จำได้ว่าออกจากโรงแรมตอนโพล้เพล้เพื่อเดินไปซื้อขนมปังจากร้านสะดวกซื้อที่ตั้งอยู่ไม่ไกล ก็รู้สึกว่ามีแต่คนจ้อง และเดินตามจนต้องจ้ำอย่างเร็ว

        แต่ฟลอเรสเป็นหนังอีกม้วน ที่นี่เดินได้อย่างช้า ๆ ดูบ้านเมืองสีลูกกวาดสวย ๆ ไปเรื่อย ๆ เปื่อย ๆ เอากล้องใหญ่ออกมาใช้งานได้แบบไม่ต้องกลัว ตอนค่ำ ๆ มีร้านอาหารเปิดรับลมริมน้ำ มีเพลงสเปนเพราะ ๆ บรรเลง นักท่องเที่ยวนั่งโยกตัวกันสบาย ๆ ดึก ๆ ดื่น ๆ ก็ยังโต๋เต๋ไปมาได้โดยไม่ต้องขังตัวเองอยู่แต่ในห้อง ผมก็เลยเดินถ่ายรูปเรื่อย ๆ เปื่อย ๆ ทั้งช่วงเช้า สาย บ่าย ค่ำ จนมาได้รูปรถตุ๊กตุ๊กที่วิ่งผ่านซอยแคบ ๆ คันนี้

นี่มาจากไหน? จีน? ญี่ปุ่น?” คุณพี่ชาวเมืองถามผมตอนเล็งกล้องถ่ายรถตุ๊กตุ๊ก

มาจากไตยลานเดี่ยครับ ผมตอบ

รถนี่ก็มาจากเมืองไทยใช่ไหม?” คุณพี่ชวนคุย

“Sí sí sí ใช่ ใช่ ใช่ น่าจะมีต้นกำเนิดจากเรา แต่ของเราแตกต่างจากนี้ครับ ผมบอกพร้อมเปิดภาพรถตุ๊กตุ๊กไทยที่ค้นหาจากกูเกิ้ลให้คุณพี่ดู

ไปติกาลใช่ไหม?” คุณพี่ชวนคุยต่อ

ใช่ ใช่ ใช่ Sí sí sí พรุ่งนี้ ผมตอบ

เที่ยวให้สนุกนะ คุณพี่อวยพรก่อนร่ำลา

ขอบคุณครับ มุชชาส กราเซียส.... ฟลอเรสเป็นเมืองเล็ก ๆ ที่ปลอดภัยและคนก็ใจดีจังเลย

        ผมหวังว่า 8 ภาพถ่าย 8 เรื่องราวที่กลายมาเป็น 8 ภาพวาดในแกเลอรีเล็ก ๆ แห่งนี้คงจะทำให้ทุกท่านเพลิดเพลินไปด้วยกันกับผมและน้องต้อยเช่นกันนะครับ

Image Contributor

Artist มัชมน เฉิน

แม่บ้านฟูลไทม์ ผู้ตามหาฝันที่หล่นหายกับการทำงานศิลปะ

ตกหลุมเสน่ห์สีน้ำมาขึ้นปีที่ 5 และมีทีท่าว่าจะยึดเป็นที่มั่น ไปจนวันจับพู่กันไม่ไหว

ติดตามผลงานของเธอได้ที่ Facebook : ToyR>art  และ Instagram : toyrart

ABOUT THE AUTHOR
โลจน์ นันทิวัชรินทร์

โลจน์ นันทิวัชรินทร์

หนุ่มเอเจนซี่โฆษณาผู้มีปรัชญาชีวิตว่า "ทำมาหาเที่ยว" เพราะเรื่องเที่ยวมาก่อนเรื่องกินเสมอ ชอบไปประเทศนอกแผนที่ที่ไม่มีใครอยากไปเลยต้องเต็มใจเป็น solo backpacker

ALL POSTS