Survivor Vanuatu เอาชีวิตรอดที่รานอนบีช
เรื่องราวของนักท่องเที่ยวกับการเอาตัวรอดสไตล์ชาวเกาะที่วานูอาตู
“นี่เรากำลังเป็นแรงงานต่างด้าวในแผ่นดินวานูอาตูหรือเปล่าเนี่ย?” ผมแอบนึกในใจหลังจากที่เอมม่ามาบอกผมว่าวันนี้เราจะออกไปตกปลาเพื่อมาทำอาหารเย็นกัน
ขออนุญาตเท้าความสักนิดนะครับ เมื่อหลายเดือนก่อนผมได้แนะนำให้ผู้อ่าน Happening BKK ได้รู้จักเอมม่าไปในเรื่อง “เมื่อหนุ่มไทยสมัครใจมีแม่เป็นชาววานูอาตู” ให้ได้อ่านกันแล้วนะครับ ถ้ายังไม่ได้อ่านก็คลิกลิงก์นี้เลยนะครับ สนุกมากครับ ฮ่า ฮ่า ฮ่า.....
ถ้ายังพอจำกันได้ ผมตัดสินใจเดินทางมายังประเทศวานูอาตู (Vanuatu) ประเทศเล็ก ๆ ในหมู่เกาะแปซิฟิกที่ตั้งอยู่ระหว่างออสเตรเลียและฮาวาย โดยผมเลือกมาพักที่รานอน บีช บังกาโลว (Ranon Beach Bungalow) บนเกาะแอมบริม (Ambrym) และผมก็ได้พบกับสุภาพสตรีชาววานูอาตูชื่อว่า “เอมม่า” (Emma)
เอมม่า คือผู้ดูแลบังกาโลวนี้ เธอเป็นสตรีชาวเกาะที่อยู่ในวัย 60 กว่า ๆ ที่ยังคงแข็งแรงสดใสคุยสนุกและใจดีมาก ๆ ที่คัญคือเธอได้เมตตารับผมเป็นลูกนอกไส้โดยให้ผมเรียกเธอว่า “มาม่า” หรือคุณแม่ หลังจากนั้นเธอก็ปฏิบัติตัวต่อผมราวกับเป็นคุณแม่อย่างจริงจัง เธอไม่เคยคิดว่าผมเป็นแขกแต่อย่างใด สำหรับเธอผมคือลูกชายของเธอจริง ๆ
ตั้งแต่วันแรก ผมก็ต้องมีหน้าที่ช้วยเธอก่อไฟ ตั้งน้ำ ต้มมัน ต้มเผือกอยู่ในถ้ำที่ปลายหาดเพราะที่นี่ไม่มีครัวอย่างเป็นเรื่องเป็นราว มนุษย์เงินเดือนชาวกรุงอย่างผมเลยต้องหัดเรียนรู้การก่อฟืนก่อไฟตั้งหม้อต้มมัน ฯลฯ ทุกอย่างเพื่อที่ผมจะได้เป็นลูกที่ดีและช่วยในการแบ่งเบาภาระของมาม่าในแต่ละวัน..... รวมทั้งวันนี้ที่เราจะไปตกปลามาทำอาหารเย็นด้วย
“เย็นนี้จะทำแกงกะหรี่ปลาให้ทานกับมันต้มนะ เราต้องไปตกปลากันก่อน” เอมม่ามาเรียกผมในตอนสายของวันนั้น วิธีการตกปลาตามแบบฉบับชาววานูอาตูนั้นน่าสนใจมาก เพราะจะใช้ไยแมงมุมเป็นดั่งสายเบ็ด ดังนั้นเราต้องเริ่มด้วยการหาไยแมงมุมนี้ให้ได้เสียก่อน
ผมเดินตามเอมม่าเข้าไปในป่า เธอสอดส่ายสายตาไปยังหมู่ไม้สารพัดชนิดอย่างชำนาญจนพบไยแมงมุมใหญ่ที่ถักทอทาบกิ่งไม้อยู่ด้านหน้าพร้อมแมงมุมตัวยักษ์ เอมม่าจับแมงมุมตัวนั้นส่งมาให้ผมถือไว้
“กรี๊ดดดดด...” ผมกรีดร้องออกมาอย่างเสียขวัญพร้อมกับชักมือหดกลับมาด้วยปฏิกิริยา Reflexive วินาทีนั้นผมนึกถึงรายการโทรทัศน์ชื่อว่า Survivor Vanuatu ที่ผมเคยดูเมื่อหลายปีก่อน แต่คราวนี้ผมรู้สึกว่าผมกำลังเป็นหนึ่งในผู้เล่นรายการนี้
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า..... อะไรกัน... เธอกลัวแมงมุมด้วยหรอ?” เอมม่าถาม เธอหัวเราะอย่างหยุดไม่ได้เมื่อเห็นผมเกิดอาการเกร็งแมงมุมยักษ์
“นี่มันไม่มีพิษเลยนะ และไม่กัดด้วย ไยก็ยังเหนียวพิเศษจนเอามาทำสายเบ็ดได้” เธอยืนยัน
ผมเป็นคนกลัวสัตว์แปลก ๆ มากครับ ถ้าไม่ใช่น้องหมา น้องแมว หรือน้องกระต่าย อะไรนี่ผมก็ไม่เคยคิดจะเกี่ยวข้องด้วยเลย แต่ในสถานการณ์เช่นนั้นผมก็ต้องการพิสูจน์กับมาม่าว่าผมสามารถ Survive แมงมุมได้ด้วยเช่นกัน ผมยื่นมือสั่น ๆ ออกไปรับแมงมุมมาถือไว้ พร้อมกับส่งไอโฟนให้มาม่าช่วยถ่ายรูปให้ รูปใบนี้จะเป็นรูปประวัติศาสตร์เพราะมันคือประสบการณ์ใหม่ในชีวิตของผมที่ได้มีโอกาสอุ้มน้องแมงมุมยักษ์ด้วยมือตัวเองเป็นครั้งแรก
เมื่อได้ไยแมงมุมมาแล้วเราต้องไปขุดดินหาไส้เดือนหรือขุดเปลือกไม้เพื่อหาแมลงตัวเล็ก ๆ ที่ยังมีชีวิต เพื่อเอามันมาเกี่ยวกับหนามของต้นไม้ จากนั้นก็ผูกไว้กับปลายไยแมงมุม เมื่อเราหามุมสงบของเวิ้งอ่าวได้ ก็โยนไยแมงมุมที่ปลายเป็นหนามตรึงแมลงหรือไส้เดือนไว้ลงไปในทะเล แมลงกับไส้เดือนก็จะดิ้นดุกดิกไปมาเพื่อช่วยเรียกปลาให้มาเขมือบ และเมื่อใดที่ปลามาเขมือบได้เราก็ต้องรีบเอาฉมวกแทงปลาทันที ฟังดูไม่ยากเลยใช่ไหมครับ แต่ว่าเราใช้เวลาเกือบครึ่งวันกว่าจะได้ปลามา 2 ตัวเพื่อทำอาหารเย็นในวันนั้น ผมหลับตาเห็นปลาหลากชนิดวางขายในซูเปอร์มาร์เก็ตในเมืองไทยที่เราแค่ไปเลือกมา จ่ายเงิน แล้วก็จบกระบวนการภายในไม่กี่นาที..... มันช่างต่างกับชีวิตของคนท้องถิ่นที่นี่จริง ๆ
และด้วยอะไรก็ตาม แกงกะหรี่ปลาในเย็นวันนั้นช่างมีรสชาติอร่อยกว่าปกติจนผมทานไปแบบไม่เหลือซากเลย การไปหาไยแมงมุม เหยื่อ และตกปลาก็เป็นอีกกิจกรรมที่เกิดขึ้นในช่วงสาย ๆ ของทุกวันจนผมเลิกกลัวแมงมุมไปเรียบร้อย
หากคิดว่าแมงมุมเป็นสัตว์ที่ผมต้องผ่านด่านเพื่อจะเป็น Survivor Vanuatu ได้แล้วล่ะก็.... ผิดครับผิด เพราะผมยังต้องเจออีกหลายด่าน
“มานี่เร็ว ๆ มาช่วยมาม่าสานหลังคาหน่อยจ้ะ” เสียงมาม่าเรียกผมอยู่หน้ากระท่อม วินาทีนั้นผมแอบคิดถึงสุภาษิตไทยที่ว่า “อยู่บ้านท่านอย่านิ่งดูดาย ปั้นวัวปั้นควายให้ลูกท่านเล่น”
ผมรีบลงมาจากกระท่อมและเดินตามเธอไปพบกับใบมะพร้าวที่ตัดมาสด ๆ จำนวนมาก วิธีการสานนั้นเหมือนกับที่ผมเคยเรียนในวิชาศิลปะ มันคือการถักไขว้ไปมาเรื่อย ๆ และพยายามถักให้แน่นมากที่สุด
วิชานี้เป็นวิชาของ Survivor Vanuatu ที่ผมชอบที่สุดเพราะผมจะได้นั่งฟังมาม่าร้องเพลงพื้นเมืองหงุงหงิงคลอไปตลอดเวลาอย่างอารมณ์ดี เสียงเพลงพื้นเมืองนั้นเพราะมาก ๆ แม้ว่าผมจะฟังไม่ออกเลยสักคำ และเมื่อเราถักเสร็จก็ต้องนำไปตากแดดให้แห้งและจับตัวกัน ถ้าวันไหนฟ้าครึ้มทำท่าว่าฝนจะตก เราก็ต้องรีบวิ่งไปเก็บมาซ่อนในถ้ำปลายหาดให้ทัน
บางวันจะมีเพื่อน ๆ ของมาม่ามาร่วมถักร่วมสานหลังคาด้วย ผมขอเรียกว่าเป็นกลุ่มสมาคมสตรีวานูอาตูที่จะมานั่งเม้าท์มอย ร้องเพลง เล่นเกมส์ต่าง ๆ ที่ทำจากกะลามะพร้าว เสียงเพลง เสียงหยอกล้อคุยกันของพวกเธอนั้นสดใส และทำให้ผมมีความสุขไปด้วย และถ้าบ่ายวันไหนผมไม่ได้ไปเดินเล่นที่ไหนผมจะโดนมาม่าตามให้ไปช่วยปฎิบัติภารกิจแสนโปรดอันนี้
“โอ๊ค... โอ๊ค... วันนี้มีเรือมาจากเกาะเพนเทอคอสต์ ไปดูกัน แล้วก็ไปช่วยมาม่าขนของกลับมาที่บังกาโลวหน่อยจ้ะ” นั่น....มาม่ามาตามผมอีกแล้ว ว่าจะแอบหลบไปอ่านหนังสือริมหาดเงียบ ๆ เสียหน่อย แต่ไม่ทันเสียแล้ว
ผมเดินตามเธอไปอย่างว่าง่ายเช่นลูกที่ดีเหมือนทุกครั้ง คราวนี้เราเดินไปยังหมู่บ้านที่ตั้งห่างออกไปจากหาดรานอนราวครึ่งชั่วโมง ที่นั่นมีชาวเกาะมาออกันใหญ่ ผมมองออกไปในทะเลก็พบว่ามีเรือลำใหญ่ที่ขนผู้โดยสารและสินค้าสารพัดมาเต็มเรือ
ที่หาดมีผู้คนมายืนออรอกันเต็ม ต่างคนต่างมารับญาติพี่น้องที่โดยสารมากับเรือลำนี้บ้าง มารอสินค้าที่สั่งไว้บ้าง ส่วนมากเป็นข้าวสาร เผือก มัน ที่บรรจุเป็นกระสอบใหญ่ แล้วก็มีหมูเป็น ๆ ตัวเขื่องที่บรรจุมาในลังไม้
ต่างคนต่างทักทายกันอย่างสนิทสนม ผมคิดว่าชาวเกาะคงจะรู้จักกันไปหมด ช่างเป็นบรรยากาศที่น่ารัก แต่มาม่าพาผมมาขนอะไร? หวังว่าไม่ใช่ลังน้องหมูนี่นะ
“ไม่ใช่ ไม่ใช่... ขนไม่ไหวหรอก ต้องเอาเรือมารับ มาม่าชวนมาดูบรรยากาศกับช่วยขนข้าว ขนมันกลับไปกันหน่อยจ้ะ” มาม่าเฉลยพร้อมกับที่ผมแอบถอนหายใจ
กระสอบข้าวสารและมันถูกกรีดออกเพื่อแบ่งสินค้าให้ขาช้อปที่มาออกันในวันนั้นให้ถือติดไม้ติดมือกลับบ้านกันคนละจำนวนหนึ่ง ผมช่วยมาม่าแบกข้าวและมันไปพอสมควร ตอนขากลับเราแวะร้านชำเล็ก ๆ ที่มีเพียงร้านเดียวของหมู่บ้านเพื่อซื้อเกลือ น้ำตาล และซอสปรุงรสบางประเภทก่อนจะมุ่งหน้ากลับบังกาโลวในตอนเย็น
“เย็นนี้ไม่ต้องต้มมันนะ” มาม่าบอก ผมแอบดีใจเพราะคิดว่ามาม่าจะปล่อยให้ผมพักผ่อน
“มาม่าจะหุงข้าวแทน กินกับแกงหมูนะ มาหัดหุงข้าวด้วย” อ้าว.... มาม่าครับ นี่มาม่าจะขยันไปไหนครับเนี่ย และเย็นนั้นผมก็ได้กินข้าวที่หุงด้วยฟืนแบบสมัยที่ผมเรียนวิชาลูกเสือ และมันก็อร่อยมากกว่าข้าวปกติธรรมดา (อีกแล้ว)
7 คืนที่รานอน บีช บังกาโลว บนเกาะแอมบริมอันไกลแสนไกลทำให้ผมมีความสุขมาก ๆ ธรรมชาติที่สวยงาม ชาวเกาะที่แสนจะใจดีทำให้ผมผูกพันกับที่นี่อย่างที่ไม่เคยรู้สึกกับที่ไหนมาก่อน
ผมตะกายข้ามขอบฟ้ามาไกลแสนไกลนับหมื่นกิโลเมตรเพื่อจะกลับไปใช้ชีวิตที่แสนจะเรียบง่าย อยู่กับธรรมชาติ นอนบนฟูกในห้องเล็ก ๆ โดยไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกใด ๆ แม้กระทั่งน้ำประปาหรือไฟฟ้า ผมแอบถามตัวเองว่าชีวิตคนเราต้องการอะไรไปมากกว่านี้อีกหรือ? เงินเดือนสูง ๆ? โบนัส? การประชุมหัวหมุนทั้งวี่ทั้งวัน? ตารางเวลาที่แน่นขนัด? ชีวิตที่สบายแต่ไม่สงบ?
แล้วผมก็แอบอิจฉาชาวเกาะแอมบริมมาก ๆ
การผ่านด่านอรหันต์จนกลายเป็น Survivor Vanuatu ครั้งนี้ ทำให้ผมได้ทานอาหารที่ผมก่อฟืน ตั้งไฟ ต้มน้ำด้วยตัวเอง ได้ทานปลาสด ๆ ที่ผมตกมากับมือ นอนในกระท่อมที่ผมเป็นผู้ลงมือสานหลังคา ทั้งหมดเป็นประสบการณ์ชีวิตที่ผมไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะเจอะจะเจอ ทั้งหมดเกิดขึ้นตั้งแต่วันแรกที่ผมเจอมาม่าและกลายมาเป็นลูกนอกไส้ของเธอ
สงสัยผมต้องต้องตะกายกลับกลับไป Survive Vanuatu รอบใหม่เสียแล้ว