ชมปราสาทแห่งความรักบนเกาะน้ำสลัด
ที่ชายแดนสหรัฐ-แคนนาดามี 1,000 Islands น้ำสลัดที่น่าไปเยือนสักครั้ง
เอ๊ะ! ยังไงกันนี่ มันน่าจะเป็น “1,000 Islands น้ำสลัดที่น่ากิน” อะไรแบบนี้มากกว่าที่จะน่าไปเยือนใช่ไหมคะ ฉันก็เพิ่งรู้ที่มาที่ไป และมีโอกาสไปเยือนต้นกำเนิดของน้ำสลัดยอดนิยมเมื่อเร็วๆนี้เอง ย้อนหลังไปเมื่อสิบแปดปีก่อน ฉันข้ามพรมแดนไปมาระหว่างอเมริกาและแคนาดาอยู่หลายรอบ ทุกครั้งจะข้ามพรมแดนตรงช่วงเมือง Watertown รัฐ New York กับ รัฐ Ontario ของแคนาดา ครั้งแรกที่ขับรถข้ามสะพาน Thousand Islands นั้น จำได้ว่ามองลงไปจากสะพานแล้วก็แทบหยุดหายใจกับความงดงามของวิวสายน้ำกว้างใหญ่ มีเกาะอยู่ประปราย พร้อมบ้านพักตากอากาศสวยๆตามลำน้ำ คิดในใจว่า บริเวณนี้มันคืออะไรหนอ แล้วชื่อดันเหมือนกับน้ำสลัดอีกตะหาก แต่ตอนนั้นก็ได้แต่ขับรถข้ามไปมา ชมวิวไปเรื่อยเปื่อย
และแล้วในที่สุด ฤดูร้อนปีนี้ (ค.ศ.2019) ฉันก็ได้คำตอบ ด้วยการไปซื้อทัวร์ล่องเรือในแม่น้ำ St.Lawrence ที่เป็นจุดแบ่งเขตระหว่างอเมริกาและแคนาดา แต่เส้นแบ่งเขตแดนตรงนี้มันไม่ได้เป็นเส้นตรงนะ เพราะมีเกาะมากมาย เส้นแบ่งเขตแดนจึงกลายเป็นเส้นซิกแซก ลัดเลาะไปตามเกาะที่บางแห่งอยู่ในเขตแคนาดา บางเกาะก็อยู่ในเขตอเมริกา เกาะใหญ่น้อยไปจนถึงเกาะจิ๋วในบริเวณนี้นับรวมกันได้เป็นจำนวนถึง 1,864 เกาะ
ฉันสงสัยว่า แล้วยังไงถึงจะนับว่าเป็นเกาะ เขาบอกว่า(เขาคือเสียงจากเทปที่เปิดบรรยายในเรือ) นิยามของคำว่าเกาะนี้ ว่ากันตามสภาพทางภูมิศาสตร์ จะต้องมีองค์ประกอบสองข้อคือ ต้องเป็นแผ่นดินที่โผล่พ้นน้ำตลอดทั้งปี ไม่ว่าจะเป็นเวลาน้ำขึ้นหรือน้ำลง และต้องมีต้นไม้อย่างน้อยหนึ่งต้น โดยเกาะที่เล็กที่สุดในบริเวณนี้มีชื่อว่า Tom Thumb Island (ที่ชื่อดันไปพ้องกับขนมยี่ห้อหนึ่งสมัยที่ฉันเป็นเด็กเล็กๆอีก ฉันนี่นึกได้แต่ของกินจริงๆนะ ให้ตายเถอะโรบิน) เจ้าเกาะทอมทัมนี้มีขนาดแค่สองสามตารางฟุตแค่นั้นเอง เกือบจะไม่ได้รับตำแหน่งเกาะกะเค้าซะแล้ว
พวกเกาะในแม่น้ำเซนต์ลอเรนซ์นี้ส่วนใหญ่เป็นของเอกชน พวกเศรษฐีฝรั่งมักจะนิยมซื้อบ้านพักตากอากาศไว้พักผ่อนในฤดูร้อน พักสายตาจากจอมือถือมาตกกุ้งหอยปูปลาไปเรื่อยเปื่อย ไม่ใช่แค่เศรษฐีฝรั่งยุคไฮเทคหรอกนะคะที่หลงรักวิวแถวนี้ ตอนช่วงปลายศตวรรษที่ 19 George C. Boldt เจ้าของโรงแรม Waldorf Astoria อันโด่งดังในเมืองนิวยอร์ค พาครอบครัวมาพักผ่อนบนเกาะฮาร์ท(Hart island ที่ภายหลังเปลี่ยนชื่อมาเป็น Heart island เพราะรูปร่างของเกาะที่คล้ายรูปหัวใจ) แล้วเกิดติดใจในความสงบสวยงามของแถบนี้ เมื่อคุณภรรยาชอบ เจ้าของโรงแรมใหญ่โตอย่างคุณจอร์จมีหรือจะอยู่เฉยๆ ในปีค.ศ.1900 จึงประกาศสร้าง ”ปราสาท” ความสูง 6 ชั้น 120 ห้อง เพื่อเป็นของขวัญที่แสดงถึงความรักต่อคุณ Louise ภรรยาที่รักยิ่ง ว่ากันว่าทุ่มทุนมหาศาล จ้างสถาปนิกชื่อดังให้ออกแบบมีครบทุกอย่างเท่าที่ปราสาทควรจะมี สร้างจนเกือบจะเสร็จสมบูรณ์ คุณจอร์จก็วางแผนที่จะมอบปราสาทเป็นของขวัญวันวาเลนไทน์แก่คุณหลุยส์ในปีค.ศ. 1904
แต่น่าเสียดายที่เดือนมกราคมปีนั้น คุณหลุยส์ได้เสียชีวิตลงจากอาการหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน คุณจอร์จส่งโทรเลขระงับการก่อสร้างด้วยความโทมนัส และไม่เคยเหยียบย่างกลับไปที่ปราสาทโบลท์อีกเลยตลอดชีวิต ทิ้งอนุสรณ์สถานแห่งความรักนี้ให้รกร้าง สู้แดดลมและหิมะอย่างเดียวดาย จนกระทั่งทางรัฐนิวยอร์คได้เข้ามาจัดการบูรณะในปีค.ศ.1977 ว่ากันว่าเสียค่าใช้จ่ายเพื่อปรับปรุงปราสาทโบลท์และที่บริเวณรอบๆ 1,000 Islands นี้เป็นจำนวนเงินถึง 45 ล้านเหรียญอเมริกัน
ตามที่บรรยายในเรือที่ฉันนั่งชมวิวแม่น้ำเซนต์ลอเรนซ์ เขาบอกว่า ระหว่างที่การก่อสร้างดำเนินอยู่นั้น คุณจอร์จไปๆมาๆเพื่อดูความก้าวหน้า และมีอยู่ครั้งหนึ่งที่น้ำสลัดหมด แม่ครัวที่บ้านพักร้อนของคุณจอร์จจึงไปขอน้ำสลัดจากชาวประมงแถวนั้น เมื่อคุณจอร์จได้กินก็ติดใจ จึงนำกลับไปเสิร์ฟในโรงแรมของเขาและตั้งชื่อให้ตามแหล่งที่มานั่นคือ 1,000 Islands ข้อเท็จจริงรายละเอียดจะเป็นตามนี้หรือไม่ ฉันก็ไม่ทราบนะคะ เขาเล่ามาก็เล่าให้ฟังกันต่อ แต่ชื่อน่ะน่าจะมาจากชื่อของบริเวณนี้แน่ค่ะ
หากคิดจะมาลงเรือเที่ยวแถบนี้ ควรเช็คให้ดีนะคะ เพราะจุดลงเรือบางแห่งไม่ได้หยุดที่ปราสาทโบลท์ ฉันลงเรือที่เมือง Gananoque, Canada ใช้เวลาล่องเรือทั้งหมด 5 ชั่วโมง หยุดให้เดินเที่ยวปราสาทโบลท์ 2 ชั่วโมง(ซึ่งฉันยังเดินชมได้ไม่ครบทุกจุดเลย) แนะนำว่าถ้าเลือกเวลาได้ ไปช่วงเดือนตุลาคมจะสวยสุดนะ เพราะมีใบไม้เปลี่ยนสี อากาศก็ยังไม่หนาวมาก แต่ Italian garden ในบริเวณปราสาท ดอกไม้อาจจะไม่สวยเท่าฤดูร้อน อันนี้คงต้องเลือกระหว่างดอกไม้กับใบไม้ล่ะค่ะ ฉันเคยขับรถข้ามสะพานช่วงใบไม้เปลี่ยนสีเมื่อสิบแปดปีก่อน สวยจับใจจริงๆ แต่อย่างว่านะคะ เรื่องใบไม้เปลี่ยนสีนี่ เดี๋ยวนี้คาดการณ์ลำบากนิดนึง เนื่องจากสภาวะโลกร้อน อากาศเลยแปรปรวน เดี๋ยวนี้จะไปเที่ยวนี่ขึ้นกับดวงเหมือนกันนะเอ้า
STORY BY คุณนายฮวง
PHOTO BY ANDREW HUANG