ตามเสด็จเปิดเทศกาลวูดู
เช้าตรู่หน้าพระราชวังหลวงแห่งราชรัฐอัลลาดา (Kingdom of Allada) ผมกับพี่ๆ น้องๆ กำลังตั้งตารออย่างใจจดใจจ่อเพราะวันนี้พระราชาแห่งอัลลาดาพร้อมด้วยพระราชินีรวมทั้งกษัตริย์อื่นๆ แห่งเครือรัฐพันธมิตรจะเสด็จไปทรงเป็นประธานเปิดเทศกาลวูดูอันเป็นเทศกาลสำคัญของสาธารณรัฐเบนิน (Republic of Benin) ประเทศเล็กๆ ในภูมิภาคแอฟริกาตะวันตก
ความจริงเบนินนั้นเคยเป็นอดีตอาณานิคมของฝรั่งเศสที่เพิ่งได้รับเอกราชเมื่อ ปี ค.ศ. 1976 และชื่อนั้นก็บอกอยู่ชัดเจนแล้วว่าเป็น “สาธารณรัฐ” แต่ทำไมถึงยังมีกษัตริย์ปกครอบแว่นแคว้นต่างๆ อยู่? เรื่องนี้ต้องอธิบายไปก่อนหน้ายุคอาณานิคมเลยครับ
หากเราย้อนเวลาล่วงไปในอดีต... ก่อนที่ฝรั่งเศส หรือชนชาติใดๆ ก็ตามจากยุโรปจะเข้ามามีอิทธิพลในทวีปแอฟริกานั้นดินแดนแทบทุกตารางนิ้วในทวีปนี้ล้วนมีกษัตริย์หรือไม่ก็ประมุขเผ่าทำหน้าที่ปกครองกันมาก่อนทั้งสิ้น
เมื่อยุโรปหลากหลายชนชาติเข้ามายึดดินแดนต่างๆ ทั่วแอฟริกาเป็นอาณานิคมนั้น พวกเขาก็จัดการกำหนดเส้นแบ่งเขตแดนกันเองตามใจชอบโดยมิได้สนใจว่าในอดีตดินแดนเหล่านี้เคยเป็นของใคร และปกครองกันมาอย่างไร และกินพื้นที่มากน้อยแค่ไหน ที่สำคัญคือไม่มีชาวแอฟริกันร่วมอยู่ในกระบวนการกำหนดเส้นแบ่งเขตแดนเลยแม้แต่คนเดียว เรียกว่าเป็นฝีมือของชาวยุโรปล้วนๆ
ดังนั้นสาธารณรัฐต่างๆ ที่กำหนดขึ้นใหม่จึงเกิดขึ้นหลังยุคอาณานิคม และในพื้นที่ของสาธารณรัฐเหล่านั้นก็มีราชอาณาจักรเล็ก ๆ หรือแว่นแคว้นน้อยๆ ซอกซอนซ่อนเร้นอยู่เป็นจำนวนมาก ต่อให้อำนาจการปกครองประเทศในปัจจุบันจะตกเป็นของรัฐบาลกลางอันมีประธานาธิบดี นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี ฯลฯ ทำหน้าที่บริหารงาน ควบคุม และดูแล แต่กษัตริย์ ราชินี หรือประมุขเผ่าก็ยังมีสืบทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่น และยังคงได้รับความเคารพในเชิงผู้นำทางจิตวิญญาณ และจารีตประเพณีอยู่เช่นเดิม รวมทั้งราชรัฐอัลลาดาด้วย
อัลลาดาเป็นเมืองที่สำคัญมากต่อลัทธิวูดู เชื่อกันว่าลัทธิวูดูถือกำเนิดขึ้นที่นี่มาตั้งแต่คริสตศตวรรษที่ 13 โดย ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์อัลลาดา ดังนั้นพิธีเปิดงานเทศกาลวูดูจึงเริ่มต้นขึ้นจากเมืองเล็กๆ แห่งนี้ เพื่อที่จะเป็นการส่งสัญญาณให้พื้นที่อื่นๆ ทั่วประเทศเบนินได้เริ่มเทศกาลวูดูกันอย่างเป็นทางการ
“ไม่ทราบว่าท่านจะเสด็จเปิดงานกี่โมงครับ” ผมถามเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยบริเวณหน้าวัง
“อีกไม่นานหรอก” นี่คือคำตอบหนที่ 5 ของคุณพี่หลังจากที่ผมถามมา 5 ครั้งแล้วเช่นกัน
คำว่า “อีกไม่นานหรอก” มักจะแปลว่า “รอไปเหอะ” ในภูมิภาคนี้เราไม่สามารถกะเกณฑ์เวลาที่ชัดเจนได้ว่าจะเป็นตอนไหน? เมื่อไหร่? ดังนั้นจึงต้องรอต่อไป.... แต่เดี๋ยวนะ
“อยากถ่ายรูปกับท่านไหม? แต่...ต้องมีของขวัญหน่อยนะ” การ์ดผิวคล้ำร่างใหญ่คนเดิมกระซิบผมเบาๆ แต่ได้ยินกันชัดๆ ด้วยภาษาฝรั่งเศส
คำว่า “ของขวัญ” หรือ Cadeau ในภาษาฝรั่งเศสนั้นเป็นคำที่ผมเริ่มชินแล้วหลังจากใช้ชีวิตอยู่ในประเทศนี้มาสักพัก มันหมายถึงค่าน้ำร้อนน้ำชาที่เจ้าหน้าที่พร้อมจะเรียกจากเราเพื่อมอบบริการบางอย่างให้ และในที่นี้คือการนำผมเข้าไปในห้องท้องพระโรงเพื่อเฝ้ากษัตริย์ และราชินี
ขณะนั้นในมือผมมีธนบัตรใบละ 2,000 ฟรังก์ เซ.แอ็ฟ.อา. (Franc C.F.A.) และผมก็ตัดสินใจยื่นให้เขาไป มันตีเป็นเงินไทยได้ประมาณ 120 บาท และเขาก็อนุญาตให้ผมเข้าไปได้กับน้องหนิงอีก 1 คนเท่านั้น และในวินาทีต่อมาผมก็พบว่าตัวเองกำลังอยู่ในห้องรับรองเล็กๆ ท่ามกลางบุรุษและสตรีที่แต่งกายในชุดพื้นเมืองนั่งอยู่จำนวนหนึ่ง
ผมเห็นคนมีท่าทีนบนอบต่อพวกท่าน ผมกับน้องหนิงจึงรีบทำตามด้วยความเคารพ ตอนนั้นผมพอเดาได้แล้วว่าผมกำลังอยู่เฉพาะพระพักตร์กษัตริย์และราชินีแห่งราชอาณาจักรต่างๆ ในเครือราชรัฐอัลลาดา ราษฎรในแคว้นอัลลาดาจะก้มเอาศีรษะจรดพื้นเพื่อทำความเคารพ และเรียกกษัตริย์ และราชินีของเขาว่า Sa Majesté ทุกคำ
คำว่า Sa Majesté นั้นออกเสียงว่า ซา มาเชสเต้ เป็นราชาศัพท์ภาษาฝรั่งเศสซึ่งเทียบเท่ากับคำว่า His หรือ Her Majesty ในภาษาอังกฤษ ซา มาเชสเต้ ดีพระทัยมากๆ ที่มีอาคันตุกะหน้าจืดมาไกลจากประเทศไทย ยิ่งผมพอสื่อสารกับท่านด้วยภาษาฝรั่งเศสได้บ้าง ท่านจึงยิ่งเป็นกันเองมากขึ้น
ตอนแรกผมทูลท่านด้วยคำว่า “Mon Chef” ซึ่งคล้ายกับคำว่า “ท่านหัวหน้าเผ่า” นะครับ แต่ท่านรับสั่งกลับมาอย่างรวดเร็วว่า “ไม่ใช่.... ไม่ใช่... ต้อง ซา มาเชสเต้ เพราะเราเป็นกษัตริย์” ผมล่ะรีบเปลี่ยนคำกราบทูลแทบไม่ทันเลย
ตอนนั้นผมอยากจะทูลถามซา มาเชสเต้ ว่าจะเสด็จกี่โมงเพราะที่หน้าวังมีผู้คนมายืนออกันอย่างล้นหลาม นักท่องเที่ยวต่างชาติมากมาย โดยเฉพาะชาวฝรั่งเศสที่ถือว่าเป็นนักท่องเที่ยวกลุ่มหลัก แต่ผมเกรงว่าจะเป็นการไม่สมควร ผมเลยคิดว่าผมน่าจะชวนท่านถ่ายรูปด้วยกันดีกว่า พอดีกับที่ซา มาเชสเต้ พระองค์หนึ่งทรงพระกรุณาถามผมว่า “อยากได้อะไรจากพวกเราบ้างไหม?”
“อยากได้รูปหมู่ถ่ายด้วยกันพะยะค่ะ” ผมชิงตอบ และไม่กี่วินาที... แชะ.... ผมก็ได้รับพระเมตตามา 2 – 3 รูปเลยทีเดียว เวลาผ่านไปอีกสักพักใหญ่เจ้าหน้าที่ก็มาเชิญให้ผมออกจากห้องเพราะถึงเวลาเสด็จแล้ว
ขบวนเสด็จนั้นยิ่งใหญ่อลังการโดยมีนักดนตรีที่มีทั้งคนตีกลอง คนเป่าแตร และคนขับร้องเดินนำ มีหน่วยเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยคอยกันคนให้พ้นทางเสด็จ มีคนกั้นพระกลดถวายเพื่อบังแดด และมีผู้หญิงคนหนึ่งถือพัดและคอยพัดให้พระองค์ท่านตลอดเวลา ประมุขแห่งลัทธิวูดูซึ่งอยู่ในชุดสีขาวก็เดินตามเสด็จมาพร้อมกันด้วย
ช่วงแรกท่านเสด็จไปวนรอบต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์หน้าวังหลวงเป็นจำนวน 3 รอบ และเป็นขบวนเสด็จที่โกลาหลมากๆ ครับเพราะขบวนนั้นยาวพอสมควร สื่อมวลชน ช่างภาพ และนักท่องเที่ยวจำนวนมากต่างก็พยายามจะเดินตามเก็บภาพกันจ้าละหวั่นจนขบวนเคลื่อนเหมือนงูกลืนหางที่หัวกับท้ายแทบจะเกยกัน
จากต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ ลำดับต่อมาก็จะเป็นการเดินไปตามเส้นทางผ่ากลางเมืองอัลลาดาไปยังลานพิธีซึ่งอยู่ห่างออกไปประมาณ 2 กิโลเมตร เมืองอัลลาดานั้นก็มีสภาพคล้ายๆ หมู่บ้านเล็ก ๆ ของไทยในชนบทอันห่างไกลดังนั้นถนนสายหลักของเมืองจึงไม่ใช่ถนนราดยาง แต่เป็นถนนดินแดงที่ขรุขระและมีฝุ่นฟุ้งมากๆ ผมพยายามตามเก็บภาพให้ได้มากที่สุดโดยผมต้องวิ่งนำขบวนไปดักรอด้านหน้าเพื่อเตรียมชวงชิงพื้นที่ก่อนช่างภาพคนอื่นๆ ที่กำลังแห่กันมา บางช่วงผมต้องเดินถอยหลังไปถ่ายภาพไปรวมทั้งหลบคนที่มาคอยชมขบวนบ้าง หลบเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยบ้าง หลบหลุมและบ่อบนถนนที่แสนจะขรุขระ พร้อมกับสูดฝุ่นแดงจำนวนมหาศาล แต่เป็นช่วงเวลาที่สนุกมากๆ เลยทีเดียว และเมื่อครบ 2 กิโลเมตรแล้ว เราก็มาถึงลานพิธีที่จะทำการเปิดเทศกาลวูดูอย่างเป็นทางการ
พิธีเปิดเทศกาสวูดูแห่งอัลลาดาเริ่มต้นด้วยรัฐมนตรีกระทรวงวัฒนธรรมแห่งเบนินกล่าวถวายรายงานด้วยภาษาฝรั่งเศสที่รัวเร็วมากๆ จนผมฟังออกแต่คำว่า “ซา มาเชสเต้” เท่านั้น จากนั้นเสียงกลองก็ดังรัวขึ้นจากมุมนู้นมุมนี้รอบลานพิธี เหล่านักบวช นักเต้น จากสำนักวูดูต่างๆ ทั่วราชอาณาจักรอัลลาดาล้วนมารวมตัวกันที่นี่ และกำลังออกลวดลายการเต้นแบบไม่ยั้ง สีสันของเสื้อผ้าที่สดใสหลากเฉดสี เครื่องประดับทั้งสร้อย กำไล ต่างหู หมวก และรัดเกล้าเต้นระริกอยู่ใต้เปลวแดดอย่างรัวเร็วไปตามจังหวะการเคลื่อนตัวของผู้เต้นพร้อมเสียงปี่กลองอันสุดเร้าใจบนลานพิธีเล็กๆ แห่งนั้น ผมสังเกตเห็นรอยบากตามร่างกายของผู้เต้นทั้งชายหญิงหลายต่อหลายคน และต่อมาก็ได้รับคำอธิบายว่านั่นคือลวดลายที่แสดงว่าบุคคลผู้นั้นมาจากเผ่าไหน
ในแอฟริกาตะวันตก วูดูยังคงฝังรากและมีอิทธิพลต่อการดำเนินชีวิตของพวกเขาเสมอ และการเต้นนั้นก็ถือว่าเป็นพลีกรรมที่พึงกระทำเพื่อเชื่อมต่อมนุษย์กับวิญญาณของบรรพบุรุษ ของผืนดิน ผืนฟ้า แผ่นน้ำ หรือสรรพสิ่งอันควรบูชาที่รายล้อมอยู่รอบตัว
ผมกับพี่ๆ น้องๆ เดินดูการเต้นของสำนักวูดูต่างๆ อย่างตื่นตาตื่นใจ มีจามมีไอกันบ้างค่อกๆ แค่กๆ เนื่องด้วยฝุ่นนั้นมีปริมาณมหาศาล ดังนั้นใครที่คิดจะไปชมพิธีสำคัญนี้ควรมีหน้ากากอนามัยติดมือไปด้วยนะครับ
ในขณะที่การเต้นโดยสำนักวูดูต่างๆ กำลังเกิดขึ้นอยู่บนลานนั้น อีกพิธีหนึ่งก็กำลังจะเริ่มขึ้นในบริเวณป่าศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ติดกับลานนั้นด้วยเช่นกัน และพิธีที่ว่าก็คือพิธีบูชายัญ
ต้นไม้สูงใหญ่หลายต้นถูกหุ้มด้วยผ้าแถบสีขาวและแดง เหล่านักเต้นจำนวนหนึ่งได้ย้ายสำนักจากลานมายังป่าศักดิ์สิทธิ์ที่จะประกอบพิธีบูชายัญ พร้อมกับเหล่านักตีกลองที่ตามมาด้วยอีกกลุ่มใหญ่ ที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งมีเทวรูปไม้แกะสลักวางอยู่ พร้อมกับเทียน และเหล้าหลายชนิด ผมคิดว่าพื้นที่นี้คือปะรำพิธีบูชายัญ และไม่ไกลกันนักผมเห็นหมูและแพะอย่างละตัวมัดอยู่
ไม่นานจากนั้น เมื่อกษัตริย์แห่งอัลลาดาและประมุขลัทธิวูดูมาถึง ผมก็ได้ยินเสียงร้องของแพะและหมูดังแหวกอากาศมาถึงหูก่อนที่จะเงียบเสียงลงไป เนื่องด้วยมีคนมารอดูการบูชายัญจำนวนมากมายมหาศาล ผมจึงไม่มีโอกาสเห็นช่วงเวลาสำคัญที่หน้าแท่นพิธีบูชายัญจนเมื่อผมเข้าไปได้แล้วผมก็พบว่าทั้งหมูและแพะนั้นได้นอนแน่นิ่งไปเรียบร้อยแล้ว พร้อมกับการเปิดเทศกาลวูดูนั้นได้เริ่มขึ้นครบทุกกระบวนการ
สิ่งที่ตามมาต่อจากนั้นคือการเชิญวิญญาณของบรรพบุรษ และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้มาสิงในกองฟาง และสิ่งนี้เรียกรวมกันว่า Zangbeto นะครับ เชื่อกันว่า “ซังเบโต” เป็นเหมือนผู้พิทักษ์ ซึ่งจะทำหน้าที่คุ้มครองดูแลหมู่บ้าน หรือพื้นที่นั้นๆ ให้ปลอดภัย ไร้การรบกวนจากสิ่งชั่วร้าย รวมทั้งปกป้องคนดีจากคนชั่ว และนำความปลอดภัยมายังพื้นที่นั้นๆ และเชื่อกันว่าภายใต้กองฟางที่วิ่งไปมานั้นไม่มีร่างกายมนุษย์อยู่ แต่สามารถเคลื่อนที่ได้ด้วยวิญญาณ
อันนี้เป็นคำอธิบายที่ผมได้รับทราบจากเจ้าหน้าที่เช่นกันนะครับ ส่วนจะเชื่อหรือไม่อย่างไรนั้น ผมขอให้เป็นการใช้วิจารณญาณของแต่ละบุคคลละกัน ผมเองก็พยายามสังเกตว่าซังเบโตเคลื่อนที่ได้อย่างไร? มีเท้ามนุษย์โผล่มาหรือเปล่า? แต่ผมขอสารภาพว่าผมไม่สามารถหยุดเพ่งมองได้ถนัดเพราะซังเบโตเคลื่อนที่เร็วมากๆ เดี๋ยววิ่งไปทางนู้นทีไปทางนี้ทีโดยมีผู้ติดตามคอยตะโกนให้ผู้คนหลีกทางให้กันจ้าละหวั่น .....ถ้าหลีกไม่ทันนี่มีโดนพุ่งชนได้ง่ายๆ เลยนะครับ
พวกผมใช้เวลาอยู่ในลานพิธีและพื้นที่ป่าศักดิ์สิทธิ์กันอีกพักใหญ่เพื่อซึมซับบรรยากาศที่อยู่รอบตัวทั้งสิ่งที่มองเห็นและมองไม่เห็น วันนั้นผมได้รับประสบการณ์ที่ผมไม่มีวันลืมได้เลย การมาร่วมเทศกาลวูดูก็ถือว่าน่าตื่นเต้นแล้ว การได้ตามเสด็จซา มาเชสเต้ไปเปิดเทศกาลนี่ถือว่าที่สุดของที่สุดจริงๆ
Image Contributor
รูปโดย ดวงฤทัย พุ่มชูศรี
ลูกคนกลางที่เกิดวันพฤหัส มีโลกส่วนตัวสูง แต่ชอบตะลุยโลกกว้าง
ขีดๆ เขียนๆ บันทึกเอามัน สีน้ำบ้าง ถ่ายรูปด้วยความหลงไหลด้วยฟิล์มบ้าง ดิจิตอลบ้างตามอารมณ์
ติดตามบันทึกการเดินทางประเทศไม่ธรรมดาที่ Facebook หน้า Nings Homemade และ IG : thursday_morning
Story by โลจน์ นันทิวัชรินทร์