HAPPENING BKK
NLINE MAGAZINE
×
เมื่อร้านค้าแฟชั่นระดับไฮเอนด์ชาร์จค่าถุงกับลูกค้า
by ขเจน
6 พ.ย. 2561, 10:20
  1,564 views

ตำของแพงแล้วยังต้องจ่ายค่าถุง?!!!!

           เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา ผู้เขียนเดินทางไปฮ่องกงเพื่อไปดูหนังในเทศกาลภาพยนตร์ Hong Kong Lesbian & Gay Film Festival ประจำปี  2018 ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำเป็นประจำทุกปีตลอดเกือบสิบปีที่ผ่านมา อันนี้พูดเฉย ๆ ว่าไปเพราะอะไร แต่ประเด็นที่อยากเล่าอยู่ที่สิ่งที่ไปพบเจอมาในทริปฮ่องกงทริปนี้ และทำให้ฉงนใจมาจนถึงวันนี้ต่างหาก

           เรื่องก็คือว่า รุ่นน้องที่สนิทกันคนหนึ่งพอทราบว่าผู้เขียนจะไปฮ่องกง นางก็อยากฝากซื้อของชิ้นหนึ่งที่ร้าน Loewe ร้านแฟชั่นสัญชาติสเปนที่ก็มีหน้าร้านจำหน่ายสินค้าอยู่ในเมืองไทย (ที่สยามพารากอนและเอ็มโพเรียม) แต่ว่าของที่น้องต้องการดันหมดสต๊อกในไทยไปเสียนี่ ก็เลยฝากเราไปตามหาที่ฮ่องกงให้หน่อย เพราะน้องเช็คจากเว็บไซต์แล้ว ของชิ้นที่ต้องการนั้นมีขายอยู่ที่นู่นในหลายสาขา คนรับฝากซื้อก็ไม่ได้ลำบากอะไรที่จะไปตำมาให้ เพราะปกติถึงจะวางทริปไว้เพื่อไปดูหนังเป็นสำคัญ แต่จริง ๆ แล้วเราไปดูหนังแค่ครึ่งทริป อีกครึ่งทริปคือไปเดินเที่ยวชมผลิตภัณฑ์แฟชั่นตามร้านค้าต่าง ๆ ทั่วฮ่องกงด้วยเหมือนกัน (คือโดยส่วนตัวมี passion กับภาพยนตร์และแฟชั่นมากพอ ๆ กัน)

          จำไม่ได้แล้วว่าเข้าไปใน Loewe สาขาไหน แต่เข้าไปในสาขาแรกก็มีของเลย หลังจากสอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับสินค้าชิ้นนั้นจนเข้าใจชัดเจนว่ามี ตรวจสอบของชิ้นใหม่ที่คุณน้องพนักงานหน้าหล่อแต่ยิ้มยากหยิบมาให้ชมจนโอเคแล้วก็ได้เวลาจ่ายสตางค์ คำถามต่อมาที่คุณน้องพนักงานถามขึ้นมาก็คือ “Do you need a bag?” เราก็นึกในใจว่า ก็ต้องเอาสิ คือเราน่ะสะพายกระเป๋ามาด้วย เราสามารถหยิบของที่ซื้อซึ่งจัดใส่กล่องเรียบร้อยสวยงามลงในกระเป๋าสะพายแล้วเดินตัวปลิวออกไปได้ก็จริง แต่เราก็คิดว่า การเดินเข้าร้านลักชูรี่แบรนด์แล้วซื้อของกับเขานี่ เราสมควรจะเดินถือถุงสวยๆ ออกมามากกว่าไหม อีกอย่าง นี่ไม่ใช่ของเรา แต่มีคนฝากซื้อ เราคิดว่าคนฝากซื้อก็ต้องอยากได้ของแพ็คสวยงามอยู่ในถุงด้วย เพราะงั้นจึงตอบ “Yes” ไปแบบไม่ต้องคิดมาก 

          ปรากฏว่าสิ่งที่เกิดขึ้นคือ น้องพนักงานบอกต่อว่า เรามีชาร์จค่าถุงนะ แต่เป็นเงิน 50 cents หรือครึ่งดอลลาร์ฮ่องกง คิดเป็นเงินไทยในหัวอย่างรวดเร็วก็ราวๆ เอ่อ สองบาทกว่าๆ เราก็ตอบตกลงมั่นเหมาะไปอีกทีว่าเราจะเอาถุง นางก็คิดรวมค่าของมาเสร็จเรียบร้อย พิมพ์สลิปบัตรเครดิตมาให้เราเซ็น แล้วเราก็ได้ของชิ้นที่ต้องการใส่ถุงเดินออกจากร้านมา

           ตอนที่ซื้อก็ไม่ได้คิดอะไรมาก ชาร์จมาสองบาทก็ยอมเสียไปแบบไม่ได้กังวลอะไร แต่เวลาผ่านไป เรากลับมานั่งคิดทบทวนแล้วก็รู้สึกแปลกประหลาดอยู่พอสมควร ว่าทำไม Loewe จึงชาร์จค่าถุงกับลูกค้าอย่างเรา คือโดยทั่วไป การที่ร้านค้าหลายๆ ร้านมีการชาร์จค่าถุง โดยเฉพาะในต่างประเทศ ส่วนใหญ่เป็นไปในเชิงอนุรักษ์​ คือเพื่อลดปริมาณการใช้ถุงที่รับมาถือใส่ของวันนั้นวันเดียวแล้วก็อาจจะกลายเป็นขยะแทบจะทันทีหลังจากนั้น ยิ่งเป็นถุงพลาสติกยิ่งควรลดการใช้ อันนี้เข้าใจมากๆ เพราะเราเองก็ไม่รับถุงพลาสติกจนติดนิสัยแล้ว ถ้าไม่จำเป็นจริง ๆ ก็จะไม่เอาถุงเลย แต่ถุงในร้านลักชูรี่แบรนด์ คิดว่าทุกร้านในโลกนี้นะ ทำมาเป็นถุงกระดาษหมด (อ้อ อาจจะยกเว้นร้าน Maison Margiela หนึ่งร้านที่เป็นถุงผ้าทรงถุงพลาสติกสีขาวปลอด) พอมันเป็นถุงกระดาษก็แอบไม่รู้สึกผิดมากเท่าถุงพลาสติกถ้าจะขอรับมาด้วย

           อย่างไรก็ตามแหละ ถ้าจะลดการใช้ทรัพยากรถุงกระดาษได้ด้วยมันก็คงเป็นเรื่องดีมั้ง ทีนี้การกระตุ้นให้ลูกค้ารับถุงให้น้อยลงด้วยการชาร์จค่าถุงเพิ่มนี่ ก็พอเข้าใจได้แหละ ว่าถ้าลูกค้าต้องเสียเงินเพิ่ม มันก็เป็นวิธีการที่ตรงไปตรงมาดีที่จะกระตุ้นให้ลูกค้าจำนวนหนึ่งที่ไม่ประสงค์จะเสียเงินโดยไม่จำเป็น เก็บเงินนั้นไว้แล้วไม่รับถุงแทน แต่พอคิดว่าการชาร์จค่าถุงของ Loewe คือคิดแค่สองบาท มันก็ยิ่งทำให้รู้สึกว่าชาร์จมาทำไมแค่นี้ ทุกคนยอมเสียแน่นอน ไม่เกิดผลอะไรหรอก ถ้าจะมีใครไม่อยากเสียสองบาทจนยอมไม่รับถุง เราก็คิดว่าน่าจะมีน้อยมากๆ เลย

           คิดต่อไปเรื่อยๆ ว่า งั้นถ้าจะชาร์จแพงกว่านี้ไปเลย เช่น ถ้าลูกค้าอยากได้ถุงทางเราขอคิดเพิ่ม 20 HK$ หรือแปดสิบกว่าบาท จะช่วยลดการใช้ถุงได้ไหม เราว่าถ้าชาร์จแบบนี้จะโดนลูกค้าโวยก่อนจะได้ประหยัดการใช้ถุงนะ เพราะของในร้าน Loewe แต่ละชิ้นราคาหลักหมื่นถึงเฉียดแสน ซื้อของในร้านเป็นหมื่นแล้วยังมาคิดค่าถุงอีกเฉียดร้อยก็ไม่ไหวนะฮะ แล้วพอคิดได้ดังนี้ ก็ทำให้คิดต่อว่า ถึงจะชาร์จค่าถุงแค่สองบาท มันก็ไม่ make sense อยู่ดีสำหรับร้านลักชูรี่แบรนด์แบบนี้

          ถ้าถามเรา เราคิดว่าสิ่งที่ร้านค้ากลุ่มนี้ควรทำคือการไม่ชาร์จเงินค่าถุงกับลูกค้าเลยมากกว่า แต่เจียดงบประมาณและเวลาไปคิดผลิตถุงกระดาษที่จะย่อยสลายได้ง่ายขึ้น ดีต่อโลกและสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ในขณะที่ยังดูหรูหรา represent เอกลักษณ์ของแบรนด์ได้ไม่ต่างจากเดิม อันนี้ในกรณีที่เป้าหมายหลักคือการดูแลสิ่งแวดล้อมด้วยการลดปริมาณการใช้ถุงที่อาจกลายเป็นขยะจริง ๆ น่ะ ส่วนถ้าแบรนด์มีเป้าหมายในการทำรายได้จากค่าถุงด้วยอีกส่วนหนึ่ง อันนี้ก็ขอกราบลา เพราะไม่มีอะไรจะแนะนำกันอีก แต่หวังว่า Loewe จะไม่เป็นเช่นนั้น

          เอ๊ะ .... ร้านลักชูรี่แบรนด์ในเมืองไทยมีการชาร์จค่าถุงอย่างนี้บ้างไหมนะ คิดว่าไม่น่ามีเนอะ

 

Story by ขเจน

 

ABOUT THE AUTHOR
ขเจน

ขเจน

ทำงานเขียนในบริษัทพีอาร์ แต่ว่าบ้าหนังและชอบแฟชั่นจนพาตัวเองออกเดินทางแรดอะราวด์ไปทั่วโลกเพื่อดูหนังและชาบูดีไซเนอร์ที่ชอบ แต่ทุกคนคิดว่าหาเรื่องไปช้อปปิ้งมากกว่า #เอิ่ม

ALL POSTS