เคยถามตัวเองไหมว่า คุณซื้อกระเป๋าแบรนด์เนมไปทำไม
สิ่งนึงที่เราฉุกคิดขึ้นมาในช่วงเร็ว ๆ นี้คือ ผู้หญิงหลายคนที่มีความสุขกับการซื้อและสะสมกระเป๋าแบรนด์เนมราคามหัศจรรย์หลายยี่ห้อเคยเห็นหรืออ่านข่าวการเปิดเผยรายได้ของบริษัทแฟชั่นทั้งหลายกันบ้างไหม และเคยสงสัยกันบ้างหรือเปล่าว่าเงินจำนวนไม่น้อยที่เราทุ่มให้กับกระเป๋าแต่ละใบ หรือไม่ก็สินค้าแฟชั่นจากแบรนด์ใหญ่ ๆ ที่ราคาสูงลิบลิ่วทุกชิ้นนั้น มันไปตกอยู่ในกระเป๋าใครกันบ้าง
เรายกตัวอย่างที่เพิ่งออกข่าวกันเร็ว ๆ นี้ซักสองบริษัท เริ่มจาก “Chanel” แบรนด์แฟชั่นเก่าแก่และยิ่งใหญ่ที่สาว ๆ หลายคนคงจะรู้จักและอยากเป็นเจ้าของกระเป๋าแบรนด์นี้กันซักใบสองใบ ซึ่งเพิ่งออกมาเปิดเผยตัวเลขรายได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ (เพราะเค้าเป็น privately-owned company ไม่ใช่บริษัทมหาชนที่ต้องแบข้อมูลต่าง ๆ ให้ผู้ถือหุ้นจำนวนมากรับทราบ ไม่เปิดเผยก็ไม่เป็นไร) ด้วยตัวเลขรายได้ในปี 2017 เท่ากับ 9.62 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ แปลไทยเป็นไทยให้ง่ายขึ้นด้วยการคูณเล่น ๆ ให้เป็นเงินบาทว่าเท่ากับ 317,460 ล้านบาท (อ่านคร่าว ๆ พอเข้าใจว่า “สามแสนกว่าล้านบาท”) ยอดนี้เห็นว่าเป็นยอดที่โตขึ้นจากปีก่อนหน้า 11% กว่า ๆ ด้วยสิ
ตัวอย่างที่สอง บริษัท Kering ผู้เป็นเจ้าของแบรนด์ใหญ่ 3 แบรนด์ที่ทุกคนต้องรู้จักกันดีแน่ ๆ อยู่แล้วคือ Gucci, Balenciaga และ Saint Laurent ที่วันก่อนอีกเหมือนกัน เราเพิ่งมีโอกาสได้อ่านบทสัมภาษณ์ขนาดยาวของ François-Henri Pinault นายใหญ่ของบริษัทในเว็บไซต์ Business of Fashion เขาพูดถึงรายได้ของ Kering เฉพาะ “ครึ่งปีแรก” ของปี 2018 นี้ว่าอยู่ที่ 6.4 พันล้านยูโร หรือคิดเป็นเงินบาทเท่ากับ 249,600 ล้านบาท โดยเป็นยอดที่เติบโตขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้วราว ๆ 33.9%
ประเด็นของเราที่ยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูด เราไม่ได้จะกล่าวโทษบริษัทใหญ่ ๆ เหล่านี้ว่ามาขูดรีดเอาเงินจากผู้บริโภคอย่างเรา ๆ โดยการตั้งราคาค่าของแพงลิบลิ่วเพื่อความร่ำรวยของบริษัทนะ เพราะพูดกันตามจริง ในตลาดการค้าเสรี ผู้ขายมีสิทธิ์จะตั้งราคาของเท่าไหร่ก็ได้ ส่วนผู้ซื้อก็ไม่ได้ถูกมัดมือบังคับให้ต้องซื้อสักหน่อย ถ้าพอใจจะจ่ายและมีสตางค์จะจ่ายก็เป็นสิทธิ์ของแต่ละคน ซึ่งก็แปลว่าถ้าเราเห็นว่าของชิ้นหนึ่งแพงเกินไป เราก็แค่ไม่ซื้อมัน ก็เท่านั้นเอง แต่อะไรล่ะที่ทำให้สินค้าแฟชั่นแบรนด์เนมสามารถทำราคาได้สูงเสียดฟ้าแต่ก็ยังมีคนซื้อไปใช้?
เหตุผลในเรื่องนี้มันก็หลากหลายพูดได้ไม่จบไปอีกหลายวัน แต่เราคิดว่าส่วนสำคัญที่น่าขบคิดต่อก็คือ ทุกลักชัวรี่แบรนด์เนมในโลกนี้จำเป็นต้องสร้างภาพลักษณ์บางอย่าง อาจจะผ่านเรื่องราวของความละเอียดพิถีพิถันในการสร้างสรรค์ชิ้นงานแต่ละชิ้น ไปจนถึงการขอดเกล็ดประวัติศาสตร์หรือสิ่งที่เป็น heritage ของแบรนด์มาแสดงความขลังจนเรารู้สึกว่าของ ๆ เขาดูซื้อหาน่าสะสม เพื่อสร้างแรงดึงดูดบางอย่างเพื่อให้ผู้บริโภครู้สึกประทับอกประทับใจจนในที่สุดก็พร้อมที่จะควักเงินซื้อของชิ้นนั้น ๆ จากแบรนด์แต่ละแบรนด์ ไม่ว่าราคามันจะแพงขนาดไหน เพราะในที่สุดความแพงมันไม่ใช่เรื่องสำคัญแล้วล่ะ ความสำคัญมันไปตกอยู่ที่การได้ซื้อหาและครอบครองบางสิ่งบางอย่างที่ทำให้เรารู้สึกพิเศษ ซึ่งความพิเศษที่ว่า มันก็คือมูลค่าของความเป็นแบรนด์ที่สูงเท่าไหร่ฉันก็พอใจจะซื้อ และกลายเป็นมูลค่ามหาศาลที่สะท้อนออกมาจากตัวเลขในรายงานยอดรายได้ที่เราเล่าไปตอนต้นนั่นเอง
เขียนมาทั้งหมด เราแค่อยากให้คุณถามตัวเองในใจก่อนซื้ออีกนิดแค่นั้นว่า..คุณซื้อกระเป๋าใบที่กำลังจะซื้อนี้ไปทำไม ถ้าการมีกระเป๋ายี่ห้อ Chanel, Hermes, Celineหรือว่า Loewe ใบใดใบหนึ่งไว้ในครอบครอง เป็นความพึงพอใจของคุณโดยแท้ พึงพอใจที่ได้ใช้ของมีคุณภาพ พึงพอใจที่ได้ใช้แบรนด์ที่ตัวเองชอบ หรือพึงพอใจในความงดงามของงานออกแบบจากดีไซเนอร์คนโปรด ฯลฯ จงมีความสุขกับการได้ใช้จ่ายเงินที่คุณหามาได้โดยสุจริตและไม่ทำให้คุณเองเดือดร้อนในภายหลังกับการซื้อมันต่อไป แต่ถ้ายังตอบตัวเองไม่ได้เต็มปาก โปรดเฉลียวใจสักนิดก่อนจ่าย จนไปช่วยทำให้บริษัทแฟชั่นยักษ์ใหญ่เหล่านี้รวยอู้ฟู่อยู่ฝ่ายเดียว..นะจ๊ะ
STORY BY ขเจน