HAPPENING BKK
NLINE MAGAZINE
×
ออกมาเต้นกับชาวเผ่าที่เคยกินเนื้อมนุษย์ ที่ "เกาะมาเลกุลา"
by โลจน์ นันทิวัชรินทร์
14 มิ.ย. 2561, 15:22
  3,314 views

ไม่ต้องเขินอายที่ใส่เสื้อผ้าอยู่คนเดียว สองมือล้วงกระเป๋าสองเท้าก้าวออกมา แล้วเต้น

        ใช่ครับ... การเต้นระบำครั้งนี้ไม่ใช่เต้นแบบโย่ว ๆ ตามปกตินะครับ เพราะผมกำลังจะไปเต้นระบำกับชนเผ่าสำคัญที่เกาะมาเลกุลา (Malekula) ประเทศวานูอาตู (Vanuatu) ประเทศเล็ก ๆ อันห่างไกลในมหาสมุทรแปซิฟิก

        ที่สำคัญคือพวกเขาเป็นชาวเผ่าที่เคยกินเนื้อมนุษย์ด้วยกันมาก่อนครับ !!!

        อย่าเพิ่งกรี๊ดด้วยความตกใจและเสียขวัญ ผมขออธิบายขยายความอีกนิดเพื่อความสบายใจของคุณผู้อ่านด้วยประวัติศาสตร์การกินเนื้อมนุษย์ในหมู่เกาะแถบมหาสมุทรแปซิฟิก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศวานูอาตูให้เข้าใจ

ไม่ต้องกลัวค่ะ หนูกินมะหร้าวไม่กินเนื้อคนค่ะ

        ก่อนเดินทางข้ามมายังเกาะมาเลกุลา ผมได้มีโอกาสไปสำรวจพิพิธภัณฑ์มานุษยวิทยาและธรรมชาติวิทยากลางกรุงพอร์ต วิลา เมืองหลวงของวานูอาตู และผมพอจะสรุปใจความสำคัญได้ว่า

        การบริโภคเนื้อมนุษย์นั้นมีอยู่จริงในหมู่เกาะแปซิฟิก และมีอย่างต่อเนื่องมานับร้อย ๆ ปี รวมทั้งในบริเวณเกาะมาเลกุลาที่ผมกำลังจะเดินทางไปด้วย...แต่

        ....แต่การบริโภคเนื้อมนุษย์ครั้งสุดท้ายนั้นปรากฏเป็นหลักฐานยืนยันว่าหมดสิ้นลงในปี .. 1969 ที่เกาะมาเลกุลาแห่งนี้เช่นกัน โดยเหตุการณ์ครั้งนั้นได้เกิดขึ้นกับหนึ่งในสมาชิกผู้เผยแพร่ศาสนาคริสต์ (Missionary) ให้กับชนเผ่าบิ๊ก นามบาส (Big Nambas) บนเกาะแห่งนี้

       ในพิพิธภัณฑ์มานุษยวิทยาและธรรมชาติวิทยาในกรุงพอร์ต วิลา ยังได้เปิดเผยถึงสาเหตุที่มนุษย์กินมนุษย์ด้วยกันว่าน่าจะมาจากปัจจัยหลัก ๆ 2 ปัจจัย

        ปัจจัยแรกเป็นปัจจัยทางวิทยาศาสตร์ นั่นคือความต้องการโปรตีนจาก Red Meat อันเป็นธรรมชาติของมนุษย์ ประเด็นนี้อธิบายได้ว่าวานูอาตูเป็นเกาะห่างไกลจากดินแดนอื่น ๆ เช่นเดียวกับหมู่เกาะทั้งหลายในมหาสมุทรแปซิฟิก แม้จะเป็นเกาะที่อุดมสมบูรณ์ แต่ก็มีเพียงโปรตีนจากปลา ซึ่งเป็นอาหารทะเล รวมทั้งโปรตีนจากสัตว์ท้องถิ่นอย่างไก่ หรือนก ซึ่งล้วนแต่เป็น White Meat ทั้งนั้น

        บนเกาะนี้ไม่มีหมู วัว ควาย หรือแหล่งโปรตีนที่เป็น Red Meat เลย นอกจากมนุษย์ด้วยกัน พวกวัวหรือหมูนั้นเพิ่งนำเข้ามาเมื่ออังกฤษและฝรั่งเศสต่างพากันเดินทางมาจับจองที่นี่เป็นอาณานิคมในช่วงหลังเท่านั้น

        เมื่อร่างกายเรียกร้อง ก็จำเป็นต้องสนอง นั่นคือปัจจัยแรกนะครับ

ตีไม้เรียกพี่น้องชาวเผ่าบิ๊ก มันบาส มารับแขกตี๋กันรัว ๆ

        ปัจจัยที่สองนั้น เป็นปัจจัยทางอำนาจและสังคม นั่นคือความต้องการที่จะมีสถานะเหนือกว่าผู้อื่นอันเป็นธรรมชาติของมนุษย์อีกเช่นกัน ประเด็นนี้อธิบายได้ว่าแต่ละเกาะนั้นมีชนเผ่ามากกว่า 1 ชนเผ่าอาศัอยู่ แต่ละเผ่าล้วนต้องการแหล่งน้ำ พื้นที่ทำกินที่อุดมสมบรณ์ที่สุด รวมทั้งต้องการเป็นผู้ปกครองมากกว่าโดนกดขี่ข่มเหง

       การสู้รบกันระหว่างชนเผ่าบนเกาะแต่ละเกาะจึงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งอาจขยายตัวเป็นสงครามข้ามเกาะก็เป็นได้ ทั้งนี้เพื่อแสวงหาอำนาจเบ็ดเสร็จสูงสุด และครอบครองดินแดนที่สมบูรณ์ที่สุด

        การข่มขู่และข่มขวัญศัตรูผู้แพ้พ่ายนั้น ย่อมไม่มีอะไรจะน่าเกรงขามไปกว่าการสังหารและกินเนื้อของพวกเขา ซึ่งสิ่งนี้นอกจากจะข่มขู่ผู้พ่ายแพ้ได้สำเร็จแล้วยังสามารสร้างขวัญ กำลังใจ และความฮึกเหิมให้ผู้ที่มีชัยอีกด้วย

        อย่างไรก็ตามผมอยากยืนยันว่าทุกวันนี้ที่เกาะมาเลกุลานั้นปราศจากการกินเนื้อมนุษย์โดยสิ้นเชิงแล้วนะครับ นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางไปสัมผัสกับชีวิตความเป็นอยู่ของพวกเขาได้โดยไม่ต้องกลัวอะไรต่อไปอีกแล้ว

        หากใครใจกล้าก็สามารถไปดูสถานที่ที่เคยเป็นสถานที่บูชายัญและสังหารผู้เป็นศัตรูของเผ่าได้ (Cannibal Site) นักโบราณคดียังคงขุดค้นและพบซากกระดูกของมนุษย์ผู้เป็นเหยื่อมาจนถึงทุกวันนี้

        ทีนี้สบายใจแล้วนะครับ เริ่มวอร์มอัพ ยืดเส้นยืดสายได้เลย ผมจะพาไปเต้นระบำกับพวกเขากัน

สนามบินที่เกาะมาเลกุลา ระบบทุกอย่างยังเป็นแฮนด์เมด

        เครื่องบินลำเล็กพาผมเดินทางจากเมืองหลวง พอร์ต วิลา (Port Vila) มายังเมืองนอรสุป (Norsup) บนเกาะมาเลกุลาด้วยเวลาเพียง 1 ชั่วโมง และนิกกี้ ไกด์ท้องถิ่นก็รอผมอยู่แล้วพร้อมกับรถกระบะคันงอมที่มีโคลนเปรอะอยู่รอบคัน

        หลังจากทักทายกันแล้ว ผมก็ค้นพบคำตอบว่าทำไมรถของเขาถึงมีสภาพเช่นนี้ เพราะถนนหนทางที่นำผมออกจากลานบินตรงไปยังหมู่บ้านชาวเผ่านั้นเป็นถนนดินผสมโคลนที่ไร้ความเรียบและพาให้รถเรากระโดดกระเด้งกระดอนไปตลอดทาง

        “บนเกาะมาเลกุลามีชนเผ่าสำคัญอาศัยอยู่ 2 ชนเผ่า เรียกง่าย ว่า บิ๊ก นามบาส (Big Nambas) และสมอล นามบาส (Small Nambas) เราจะไปเผ่าบิ๊ก นามบาสก่อนนะนิกกี้บอกไปหัวสั่นไปตามแรงกระเทือนของรถ

        ความจริงชื่อของเผ่าทั้งสองนั้นมีคำที่เป็นภาษาถิ่นนะครับ แต่ผมจดขณะนั้นตอนอยู่บนรถที่โยกเยกมาก ๆ แล้วผมก็กลับมาอ่านลายมือตัวเองไม่ออก...ฮือ... ฮือ... ฮือ... ขอโทษด้วยนะครับ

        คำว่า Nambas นั้นหมายถึงเครื่องหุ้มอวัยวะเพศชายครับ มันนับรวมตั้งแต่แถบใบไม้ที่พันรอบเอวจนมาขมวดที่ปลายอวัยวะเพศชายเพื่อหุ้มทุกอย่างไว้ให้มิดชิด

        เผ่าบิ๊ก นามบาสนั้นก็จะใช้ใบไม้ที่ดูคล้ายใบตองซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าเผ่าสมอล นามบาสที่จะใช้ใบไม้ชนิดอื่นซึ่งมีขนาดเล็กกว่า... แต่ล้วนมีประสิทธิภาพในการปกปิดอย่างเหนียวแน่นได้ดีเท่า ๆ กัน แม้เขากระโดดโลดเต้นแค่ไหน ก็ไม่เคยปล่อยให้เกิดทัศนอุจาดใด ๆ เลยแม้แต่เสี้ยววินาที

        สบายใจได้นะครับ (^_^)

        ต่อให้ผมทราบว่าปัจจุบันนี้พวกเขาเลิกกินเนื้อมนุษย์กันไปแล้ว แต่ผมก็อดตื่นเต้นไม่ได้ ยิ่งพอไปถึงหมู่บ้านของเผ่าบิ๊ก นามบาสแล้วนิกกี้สอนให้ผมนำใบเฟิร์นสดก้านยาวที่ตัดมาจากริมป่า 2 ก้านมาถือไขว้กันไว้เหนือศีรษะเมื่อเดินเข้าไปเพื่อแสดงให้พวกเขารับรู้ว่าผมมาอย่างสันตินั้น ผมนี่ระล่ำระลักรีบทำอย่างมือไม้สั่นเลยครับ

        หมู่บ้านบิ๊ก นามบาสนั้นเป็นหมู่บ้านขนาดกลางที่ตั้งอยู่อย่างสงบร่มรื่นในป่า ลานหญ้าเขียวกลางหมู่บ้านอยู่ภายใต้เงาไม้ใหญ่ ผมเดินทำท่า สันติภาพ เข้าไปพบชายฉกรรจ์จำนวนหนึ่ง พวกเขาเปลือยท่อนบนมีเพียง “นามบาส” ปกปิดอวัยวะสำคัญ

        “เอามือลงได้แล้วนะยู นิกกี้กระซิบพร้อมหัวเราะเบา ๆ หลังจากที่เห็นผมยืนถือก้านเฟิร์นสดไว้เหนือหัวอยู่หลายนาทีจนเริ่มเมื่อย

        “เขารับรู้แล้วใช่ไหมว่าไอมาอย่างสันติ.....ไอไม่ได้มาทำสงครามใด นะ ผมกระซิบถาม

          คราวนี้นิกกี้ถึงแก่หัวเราะจนน้ำตาไหล

         ชายที่เป็นแกนนำเผ่าได้เคาะท่อนไม้เชิญชวนพี่ ๆ น้อง ๆ ให้ออกมาที่ลานร่มรื่นแห่งนั้นเพื่อต้อนรับผม คราวนี้มีทั้งผู้หญิง ผู้ชาย เด็กเล็กเด็กน้อยหลายวัยออกมากันหลายคน ผมเดินเข้าไปจับมือทักทายและแนะนำตัวว่าผมมาจากเมืองไทย

ตีไม้เรียกพี่น้องชาวเผ่าบิ๊ก มันบาส มารับแขกตี๋กันรัว ๆ

        “เราดูองค์บาก... เราชอบโทนี่ จา มาก เราดูกันทั้งหมู่บ้านเลย คุณพี่หัวหน้าเผ่าบอกผมเป็นภาษาอังกฤษ และนี่เป็นอีกครั้งที่ผมได้สัมผัสถึงความดังทะลุโลกของภาพยนตร์ไทยเรื่องนี้ คราวก่อนผมไปที่เกาะแอมบริม ประเทศวานูอาตูเช่นกัน และชาวบ้านที่นั่นก็ล้วนแต่เป็นแฟนคลับของพี่โทนี่ จา และองค์บากกันถ้วนหน้า

       ความที่อังกฤษเคยมาปกครองบางส่วนของวนูอาตูและได้สร้างโบสถ์และโรงเรียนไว้ด้วย ดังนั้นการที่ชนเผ่าจะพูดภาษาอังกฤษได้นั้นก็ไม่ใช่เรื่องแปลก

         ชาวเผ่าบิ๊ก นามบาสน่ารักมาก ๆ เพราะทุกคนต้อนรับผมด้วยรอยยิ้ม การแสดงมีมากมายหลายอย่างทั้งระบำศักดิ์สิทธิ์ในเวลาปลูกพืช ระบำออกรบ ระบำในเทศกาลรื่นเริง และจบด้วยลำนำกล่อมลูกจากเหล่าแม่ ๆ ของเผ่า

ผู้หญิงร้องลำนำกล่อมลูกน้อยให้ฟัง.

         ผมดูไป บันทึกภาพไปอย่างสนุกสนาน เวลา 1 ชั่วโมงกว่า ๆ นั้นผ่านไปอย่างรวดเร็ว และแล้วก็ถึงเวลาที่ผมต้องอำลาไปยังเผ่าสมอล นามบาส

ตี๋เด่นอยู่คนเดียวไม่ถอดเสื้อด้วยครับ

         อยากลองเต้นระบำเผ่าบิ๊ก นามบาสไหม?” ไกด์นิกกี้ถามผม

        “ฮ่า ฮ่า ฮ่า.... อย่าเลย แค่ได้ดูก็ตื่นเต้นแล้ว ผมขอขอบคุณทุกคนมาก นะครับ ผมชิงปฏิเสธ และกล่าวอำลาเพื่อเดินทางต่อไปยังอีกเผ่า พร้อมกับแอบถอนหายใจที่รอดการแสดงมาได้อย่างหวุดหวิด

          รถกระบะคันมอมพาผมข้ามเกาะมาอีกฝั่งเพื่อไปยังเผ่าสมอล นามบาส โดยเราแวะทานอาหารกลางวันกันง่าย ๆ ที่เพิงอาหารในตลาด

        “ที่นี่ไม่ต้องเอาก้านเฟิร์นถือไขว้ไว้บนหัวเหมือนเผ่าเมื่อเช้านะ เดินเข้าไปเฉย นิกกี้กระซิบให้รู้จารีตของเผ่านี้

         “แต่เขาจะรับรู้แน่นะว่าไอมาแบบสันติ... สันติจริง I come with peace น่ะ ผมถามให้แน่ใจอีกครั้ง และผมก็แอบเห็นนิกกี้ยิ้มเบา ๆ

        “Bonjour, Monsieur. Bienvenue a notre maison. Je' m appelle Sylvie et j’espere que vous allez aimer nos spectacles cet apres-midi” เสียงเอ่ยทักเป็นภาษาฝรั่งเศสรัวมาเป็นชุดจากซิลวีผู้เป็นไกด์ประจำเผ่าสมอล นามบาส ผู้กำลังรอผมอยู่

         อันนี้ก็อย่าตกใจเช่นกันครับเวลาได้ยินภาษาฝรั่งเศสรัวเร็วจากชาวเผ่าที่นี่ วานูอาตูนั้นปกครองโดยทั้งอังกฤษและฝรั่งเศสอยู่ช่วงหนึ่ง โดยทั้งคู่ต่างยึดเกาะต่าง ๆ ไว้คนละครึ่ง เกาะหนี่งเกาะอาจแบ่งซีกซ้ายเป็นอังกฤษ และซีกขวาเป็นฝรั่งเศส ดังนั้นบนเกาะเดียวกันแต่ก็อาจพูดกันคนละภาษากันก็ได้ครับ หากหมู่บ้านอยู่คนละด้านกัน

สาวสวยประจำเผ่าสมอลนัมบาส

        ผมรีบทักทายซิลวีกลับด้วยความยินดี จากนั้นเธอพาผมเข้าไปในหมู่บ้านที่ร่มรื่นใต้เงาไม้ใหญ่เช่นกัน

        ที่ลานดินนั้นมีชาวเผ่าสมอล นามบาสทั้งชายหญิงรอผมอยู่แล้ว และเมื่อผมไปถึง... การเต้นระบำก็เริ่มขึ้นทันที

       “เต้นเลยค่ะ...เมอซิเออร์ เต้นเลยค่ะ ซิลวีบอกผม

        ทันใดนั้นชายฉกรรจ์เปลือยอก 5-6 คนก็ปรี่เข้ามาคว้าแขนผม เสียงกลอง เสียงเคาะไม้ เสียงเพลงภาษาถิ่นฟังเร้าใจดังอยู่รอบตัว

       “ดะ...ดะ...ดะ...เดี๋ยวนะ เอ่อ....ขอกูวางเป้ก่อนได้ไหมฮะ...มาดามซิลวี ผมแอบคิดในใจ แต่ไม่ทันละเพราะผมกำลังจับมือพวกเขายกแข้งยกขาตาม

        “เมอซิเออร์...ถอดเสื้อค่ะ ถอดเลยค่ะ เดี๋ยวหาชุดของสมอล นามบาสมาใส่ให้ มาดามซิลวีไม่หยุด

        “ย่ะ... ย่ะ... ย่ะ... อย่าเลยครับ ผมอายซิกส์แพ็คครับ ผมตอบออกไปอย่างรวดเร็ว ผมไม่กล้านึกภาพตัวเองใส่ สมอล นามบาส เต้นแบบพี่ ๆ น้อง ๆ รอบตัวผม

เผ่าสมอล นัมบาส ไปถึงเต้นเลย ไม่ต้องรอ ไม่ยอมให้ดูเฉย ๆ ด้วย

        การเต้นระบำหมู่สามัคคีไทย-วานูอาตูแบบรุนแรง รวดเร็ว จบลงพร้อมเสียงโห่ฮาของชาวเผ่า ผมแอบโล่งใจ และหวังว่าต่อจากนี้ผมจะสวมบทบาทเป็นผู้ดูเท่านั้น

ระบำจัดเต็ม ส่งแขกตี๋กลับ

        จากนั้นก็เป็นระบำต่าง ๆ ที่สวยงามไม่ว่าจะเป็นระบำผีเสื้อที่ผู้ชายที่เต้นนำจะสวมใส่เครื่องประดับสีชมพูพร้อมกระพรวนข้อเท้าที่ทำจากเมล็ดพืชธรรมชาติ ระบำศักดิ์สิทธิ์ก่อนเพาะปลูก ระบำปลุกใจก่อนออกรบ และลำนำกล่อมลูกจากเหล่าแม่หญิง

ระบำแสนสวย

         เมื่อการแสดงจบลงแล้ว ซิลวียังพาผมไปดูชาวบ้านประกอบอาหารด้วย ซึ่งมีนคือมันบดใส่ใบตองนำไปบรรจุกระบอกไม้ไผ่แบบข้าวหลามเพื่อนำไปผิงไฟให้สุกก่อนนำมาทานกับกะทิ ผมได้ลองแล้วก็พบว่ามันเหนียว ๆ เค็ม ๆ มัน ๆ อร่อยใช้ได้เลย

        ก่อนกลับวันนั้น ผมต้องไปปลูกต้นไม้สันติภาพที่บริเวณทางเข้าหมู่บ้าน มันเป็นต้นเฟิร์นป่าต้นเล็ก ๆ ที่ชาวเผ่าเตรียมไว้ให้ผมนำมาฝังรากลงดินและเอาหินก่อรอบไว้เป็นเครื่องหมาย

ปลูกต้นไม้เสร็จแล้ว มีบริการล้างมือจากกระบอกไม้ไผ่ exotic สุด ๆ

        ผมหวังว่าวันนี้ต้นเฟิร์นน้อยต้นนั้นจะเติบโตขึ้น และพวกเขาจะยังจำหนุ่มตี๋หน้าจืดคนนี้ที่บุกไปถึงหมู่บ้านของพวกเขาได้ เช่นเดียวกับที่ผมไม่เคยลืมพวกเขาจนถึงวันนี้

        ผมกลับออกมาจากหมู่บ้านในเวลาบ่ายแก่ ๆ และก็ถึงเวลาที่นิกกี้ต้องบึ่งพาผมกลับมายังสนามบินนอรสุปเสียที ผมกล่าวอำลาเขาด้วยความขอบคุณและก้าวขึ้นเครื่องบินเล็กที่จอดรอผมอยู่ตรงลานบินเพื่อบ่ายหน้ากลับเมืองหลวงพอร์ต วิลา

ครื่องบินเล็กมารับกลับเกาะเมืองหลวง

        “อ้าว....... ผู้โดยสารไปไหนหมด ผมนึกในใจพร้อมมองรอบตัว ในเครื่องบินวันนั้นไม่มีใครเลยสักคน และผมก็ได้นั่งแถว A 1 ข้างหลังกัปตัน

         เมื่อเครื่องขึ้นไปอยู่บนฟ้าแล้ว ผมก็ประจักษ์ว่าผมเป็นผู้โดยสารเพียงคนเดียวบนเครื่อง

        “ไม่หรอก.... นี่ไง เรามีปูมะพร้าวกลับไปด้วย 1 ตัว ญาติผมที่มาเลกุลาฝากให้ผมเอาไปให้เมียทำอาหารเย็นนี้ อร่อยล่ะ กัปตันหันมาบอกผม และชี้ที่เจ้าปูเคราะห์ร้ายตัวนั้น

ผู้โดยสารพิเศษคือเจ้าปูมะพร้าว หรือ coconut crab นั่นเอง

        ประสบการณ์วันนี้มีมากมายหลายอย่าง ทั้งการได้พบชาวเผ่าสำคัญทั้ง 2 เผ่าบนเกาะมาเลกุลา การเต้นระบำพร้อมแบกเป้บนหลัง และ (เกือบ) ต้องใส่ชุดสมอล นามบาสเต้นด้วยแล้ว

        แต่การเป็นผู้โดยสารเพียงคนเดียวที่เดินทางกลับพร้อมปูมะพร้าวบนเครื่องบินวันนั้นมันช่าง Super VIP จริงจริ๊งงงงงงง......

STORY AND PHOTO BY โลจน์ นันทิวัชรินทร์

ABOUT THE AUTHOR
โลจน์ นันทิวัชรินทร์

โลจน์ นันทิวัชรินทร์

หนุ่มเอเจนซี่โฆษณาผู้มีปรัชญาชีวิตว่า "ทำมาหาเที่ยว" เพราะเรื่องเที่ยวมาก่อนเรื่องกินเสมอ ชอบไปประเทศนอกแผนที่ที่ไม่มีใครอยากไปเลยต้องเต็มใจเป็น solo backpacker

ALL POSTS