ทำไมต้อง THE MET GALA

 

        ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา ไม่มีเรื่องไหนในแวดวงแฟชั่นจะใหญ่ไปกว่างาน The Met Gala ที่เหล่าดารา นักแสดง และคนเด่นคนดังในแวดวงแฟชั่น ศิลปะ และบันเทิงมารวมตัวกันบน red carpet ที่คาดว่าน่าจะเป็นพรมแดงที่ใหญ่และเรียกความสนใจของผู้คนได้มากที่สุดในนิวยอร์กหรืออาจจะของโลกงานหนึ่ง ความวูบวาบฉาบฉวยของแสงแฟลชที่รัวใส่คนดังและดารานักแสดงที่สวมชุดสุดอลังการของแฟชั่นดีไซเนอร์ระดับโลกมาเดินกันบนพรมแดงปีนี้ ไล่ตั้งแต่แม่งาน Anna Wintour และ co-host อย่าง Donatella Versace และ Amal Clooney ภรรยาของ George Clooney เรื่อยไปจนถึงตัวแม่ในวงการบันเทิงและแฟชั่นอย่าง Madonna, Rihanna, Cardi B, Katy Perry, Sarah Jessica Parker และอีกมากมาย อาจทำให้ใครหลายคนหลงลืมไปว่า จริง ๆ แล้วพิพิธภัณฑ์ The Metropolitan Museum of Art จัดงาน The Met Gala ไปทำไม

        เล่ากันคร่าว ๆ จริง ๆ แล้ว The Met Gala หรือ The Met Ball เกิดขึ้นในฐานะงานเปิดตัวนิทรรศการแฟชั่นประจำปีของ The Costume Institute ซึ่งอยู่ภายใต้พิพิธภัณฑ์ ​The Met อารมณ์เดียวกับเวลาที่มีหนังเรื่องใหม่กำลังจะเข้าโรงแล้วบริษัทเจ้าของหนังจัดงานกาล่าพรีเมียร์ก่อนถึงวันเข้าโรง โดยมีดารานักแสดง ผู้กำกับ และทีมงานมาเดินพรมแดงให้แฟน ๆ ได้ชื่นใจอย่างไรอย่างนั้น แต่ The Met Gala พิเศษกว่าหน่อยตรงที่เป็นกาล่าที่จัดขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองความงดงามทางศิลปะของเสื้อผ้าอาภรณ์ก่อนที่จะเปิดให้ประชาชนทั่วไปได้เข้าชมจริงต่อหลังกาล่าอีกกี่เดือนก็แล้วแต่

        และเพราะการจัดนิทรรศการแต่ละครั้งย่อมต้องมีค่าใช้จ่าย ตัวพิพิธภัณฑ์เองก็ต้องมีต้นทุนที่ไม่ใช่น้อยในการดำเนินงาน ทั้งการดำเนินงานปกติและการจัดนิทรรศการนี้ กาล่าที่จัดขึ้น ซึ่งทุกปีจะจัดกันในวันจันทร์แรกของเดือนพฤษภาคม จึงมีเป้าหมายในการระดมเงินสมทบทุนให้กับ Costume Institute ด้วย ทุกที่นั่งที่ใครก็ตามที่มางานกาล่าจึงต้องมีราคาค่าบัตรเข้างาน (ปัจจุบันราคาถีบสูงไปอยู่ที่เก้าอี้ละ 30,000 ดอลลาร์ #เบาๆ) ซึ่งนั่นแหละ ราคาบัตรอาจจะเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่นำมาสู่ความเพริศหรูอลังการอย่างที่เราเห็น

        และเพราะพรมแดงนี้ไม่ใช่แค่พรมแดงที่จับดารามาใส่ชุดกูตูร์เดินสวย ๆ อย่างเดียว แต่เป็นพรมแดงที่เฉลิมฉลองที่สุดของความคิดสร้างสรรค์ทางแฟชั่นด้วย แฟชั่นดีไซเนอร์แต่ละคนจึงจัดเต็มออกแบบชุดให้ดารานักแสดงหรือคนดังที่ได้รับเลือก(จากป้าแอนนา)ให้สามารถเดินเข้ามานั่งกินดื่มในกาล่านี้ ซึ่งอาจจะพูดได้ว่า พรมแดงที่งาน The Met Gala เป็นพรมแดงที่เปิดโอกาสให้ดีไซเนอร์หลายคนได้ “ปล่อยของ” กันเต็มที่ และเป็นความเต็มที่ในแบบที่ไม่ได้ดูเพี้ยนหลุดโลกเสมอไป แต่เป็นการเฉลิมฉลองความคิดสร้างสรรค์ในการสร้างงานแฟชั่นภายใต้คอนเซ็ปต์ใดคอนเซ็ปต์หนึ่ง(ตามแต่ธีมของแต่ละปี)​อย่างสุดทาง ซึ่งสิ่งนี้ต่างหากที่ทำให้งาน The Met Gala น่าสนใจและแตกต่างไปจากพรมแดงอื่น ๆ

        The Met Gala ปีล่าสุดที่เพิ่งจบลง (แต่นิทรรศการแฟชั่นจะมีให้ดูยาวไปถึงเดือนตุลาคม) มาในธีม “Heavenly Bodies: Fashion and the Catholic Imagination” (ตั้งธีมซะสวยหรู) แปลให้ง่ายก็คือ ธีมการนำเสนอเครื่องแต่งกายของผู้คนที่มีความเกี่ยวข้องกับศาสนาคริสต์คาทอลิก และแฟชั่นที่ได้แรงบันดาลใจทั้งทางตรงและทางอ้อมจากเครื่องแต่งกายทางศาสนาคริสต์คาทอลิก

        ศิลปินดารา นักแสดงและคนเด่นคนดังที่มางานนี้ก็แต่งตัวจัดเต็มกันมาตามธีม ซึ่งสำหรับเรา เราพบว่า ดูเป็นการปะทะกันระหว่าง good กับ evil มาก ๆ (ฮ่า ๆ) บางคนก็สวยเป็นนางฟ้านางสวรรค์ บางชุดก็แอบเห็นแรงบันดาลใจจากชุดแม่ชี บาทหลวง หรือพระสันตปาปา แต่ก็ยังมีอีกหลายคนที่ดูมีความผีสางซาตาน (ไม่แน่ใจว่าเป็นที่ชุดหรือที่บุคลิกของคนใส่) แล้วก็มีอีกหลายคนเหมือนที่ทุก ๆ ปีก็มี ที่จะแต่งตัวมาสวยเลย แต่ไม่ได้เข้ากับธีมใด ๆ หรอกนะ 55

        ถือว่าแซวกันเล่น ๆ ขำ ๆ แต่อยากจะย้ำอีกครั้งว่า Costume Institute ของ The Met โดยคุณพี่ Andrew Bolton ภัณฑารักษ์ผู้อยู่เบื้องหลังงานนี้ ใช้เวลาแทบจะทั้งปีในการเตรียมงานนิทรรศการใหญ่งานนี้ The Met Gala ซึ่งเป็นกาล่าวันเปิดตัวเป็นเพียงน้ำจิ้มและเครื่องมือทางการประชาสัมพันธ์ชั้นดีที่จะทำให้งานนี้เป็นที่รู้จักในวงกว้าง แต่หลังจากแสงแฟลชดับวูบลงแล้ว สิ่งที่เรา ประชาชนทั่วไป ควรทำก็คือ หากมีโอกาสได้แวะไปนิวยอร์กตั้งแต่บัดนี้จนถึงเดือนตุลาคม ขอให้แวะเข้าไปชมนิทรรศการแฟชั่นดี ๆ ที่มีกันแค่ปีละครั้งที่พิพิธภัณฑ์ The Met แล้วคุณจะรู้ว่า แฟชั่นเป็นมากกว่าเสื้อผ้าที่เราใส่เพียงเพื่อปกปิดร่างกาย แต่มีความหมายและรากที่หยั่งลึกกว่านั้นเยอะเลย ลองไปดูกันจ้า : )

STORY BY ขเจน