HAPPENING BKK
NLINE MAGAZINE
×
เที่ยวแบบ “La Dolce Vita” ที่ ซาน จิมิยาโน
by โลจน์ นันทิวัชรินทร์
4 เม.ย. 2561, 16:44
  4,583 views

        เคยได้ยินคนอิตาลีชอบพูดวลีเก๋ ๆ ว่า La Dolce Vita ไหมครับ

       ‘ลา ดอลเช่ วิต๊ะ นั้น ถ้าแปลเป็นภาษาอังกฤษก็คงแปลง่ายๆ ว่า Sweet Life หรือชีวิตอันหอมหวนและแสนหวาน ชีวิตแนวสโลว์ไลฟ์แบบไม่เร่งรีบหรือชิล ๆ นั่นละครับ และคราวนี้ผมอยากชวนคุณผู้อ่านชาว Happening BKK ให้มาลองท่องเที่ยวแบบ “ลา ดอลเช่ วิต๊ะ” กันบ้าง ด้วยการทำเป็นลืมไกด์บุ๊กและรีวิวของกูรูนักเดินทางทั้งหลาย พกไปแค่สองตา สองขา สองแขน พร้อมสมองเบาๆ และใจสบายๆ รับรองสิ่งที่คุณจะได้รับกลับมานั้น...เพียบ!

มุมสวยซ้ำซ้อนแบบนี้รออยู่ ที่ ‘ซาน จิมิยาโน’ 

        เรื่องเกิดขึ้นระหว่างที่ผมกำลังตระเวนในเมืองใหญ่ ๆ ในอิตาลี อย่างโรม มิลาน เวนิส หรือฟลอเรนซ์ จนสะบักสะบอม จู่ ๆ ผมก็เริ่มเหน็ดเหนื่อยกับการเปิดแผนที่เพื่อเล็งหาจุดหมายที่จัดให้เป็น ‘A must’ ที่ไกด์บุ๊คต่าง ๆ สาปแช่งไว้ว่าใครก็ตามที่พลาดสถานที่เหล่านี้ถือว่าแกสอบไม่ผ่าน

หมู่อาคารยุคกลาง

        ผมพยายาม (ทำเป็น) ชื่นชมงานศิลป์ชิ้นสำคัญในพิพิธภัณฑ์ชื่อก้องโลกต่าง ๆ ทั่วอิตาลี และผมก็ชักเริ่มเบื่อกับการต่อแถวยาวเหยียดเพื่อชมภาพเขียนชิ้นงามระดับโลก รวมทั้ง (พยายาม) ศึกษาแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์ผลงานของศิลปินต่าง ๆ เจ้าของผลงานนั้น ๆ เพื่อจะกลับไปโม้ให้ใครต่อใครฟังได้....

       โอ๊ย...พอ ๆ พอ ๆ นี่กูมาเที่ยวนะโว้ย.... ไม่ได้มาสอบวิทยานิพนธ์

        อาการน็อตหลุดครั้งนั้น ทำให้สวรรค์ส่ง ซาน จิมิยาโน (San Gimignano) มาให้เป็นที่หมายต่อไป ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าหลับตาจิ้มชื่อเมืองประหลาด ๆ นี้มาได้อย่างไร รู้แต่ว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องที่สุด เพราะซาน จิมิยาโน เป็นเมืองเล็ก ๆ ที่มีเสน่ห์ และเปลี่ยนจังหวะการเดินทางของผมให้ช้าลงได้ตั้งแต่ก้าวแรกที่สัมผัส

        ผมนั่งรถบัสออกจากฟลอเรนซ์ได้ไม่นานก็ต้องตื่นตากับเมืองโบราณที่ตระหง่านอยู่บนยอดเขาที่ ตื่นใจกับหมู่หอคอยแข็งแรงที่แข่งกันทิ่มแทงสู่ท้องฟ้า....นั่นแปลว่า ผมมาถึงซาน จิมิยาโนแล้ว

                       

        พอลงจากรถบัส ผมคว้าแผ่นพับที่ได้รับจากเจ้าหน้าที่ที่ Tourist Information มาเปิดอ่านแล้วก็พบว่าซาน จิมิยาโน เป็นเมืองที่ยูเนสโกยกย่องให้เป็นมรดกโลกสำคัญแห่งหนึ่ง เต็มไปด้วยสถาปัตยกรรมโบราณตั้งแต่ยุคกลางที่ได้รับการอนุรักษ์อย่างดีทุกซอกทุกมุม โดยเฉพาะตัวหอคอย (หรือ Torre – ตอเร่ ในภาษาอิตาเลียน) ซึ่งมีมากมายและเป็นเอกลักษณ์อันโดดเด่นของเมืองนี้

        แล้วทำไมคนยุคโน้นถึงต้องถ่อสังขารขึ้นเขามาสร้างหอคอยสูง ๆ เหล่านี้

 

        อันนี้ก็มีหลายสมมุติฐานนะครับ สรุปได้ประมาณว่า ซาน จิมิยาโนเป็นเมืองที่มีความรุ่งเรืองมากในระหว่างคริสตศตวรรษที่ 11 – 14 เมื่อกลายมาเป็นศูนย์กลางการเดินทางจารึกแสวงบุญของชาวคาทอลิกที่ไปมาระหว่างเมืองต่าง ๆ ในแคว้นทัสกานีกับวาติกัน ทางแสวงบุญนี้มีชื่อเรียกว่า เวีย ฟรานซิเจนา (Via Francigena)

         และความรุ่งเรืองของเมืองบนเขาแห่งนี้ได้ก่อให้เกิดสถาปัตยกรรมทรงแปลก นั่นคือหอคอยสูงทีในอดีตมีถึง 72 หอด้วยกัน แต่ที่เหลือรอดมาถึงตอนนี้มีเพียง 14 หอเท่านั้น โชคดีที่หอหลัก ๆ อย่าง Torre del Podesta ซึ่งเป็นหอคอยเอกที่สูงถึง 50 เมตรยังคงอยู่ให้เดินไปชมได้

โบสถ์ซานอโกสติโน (San Agostino) 

        เอกสารของการท่องเที่ยวยังอรรถาธิบายต่อไปว่าซาน จิมิยาโน ยังมีโบสถ์ที่สวยงามอย่างโบสถ์ Collegiate ที่มีภาพเขียนรูปปั้น และภาพสลักเรื่องราวจากพระคัมภีร์ที่สวยงาม โดยเป็นงานของช่างศิลป์ตระกูลซีเอนาและฟิออเรนตินา หรือโบสถ์ซานอโกสติโน (San Agostino) ที่มีภาพวาดบนปูนเปียก (Fresco) ที่มีมาตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 14 รวมทั้งภาพเขียนของศิลปินโบราณที่มีชื่อเสียงของทัสกานีมากมายอย่าง Benozzo Gozzoli, Piero del Pollaiolo, Sebastiano Mainardi และ Vincenzo Tamagni เป็นต้น

        แล้วแผ่นพบยังแนะนำอีกว่า.....โอย... โอย... โอย... ตาผมเริ่มลาย ปวดหัวตุ้บ ๆ ไอ้อาการเกร็งการเที่ยวเริ่มกำเริบขึ้นอีกครั้ง ผมรีบวางแผ่นพับลงทันที...

        พอ... พอ... พอกันที มาเที่ยวซาน จิมิยาโนครั้งนี้ผมขอใช้หัวใจนำทางไปดีกว่า และแล้วกระบวนการ ขบถ ก็เริ่มต้นในวินาทีนั้นทันที

        ผมจำได้คลับคล้ายคลับคลาว่าไกด์บุ๊กบอกว่าเมืองเล็กๆ แค่นี้อย่าอยู่เมืองนี้เกินครึ่งวันเลย... มันไม่ค่อยมีอะไรให้ดูให้ทำหรอก

        เฮ้ย.... ไม่เชื่อโว้ย เมืองออกจะสวย ไม่ค้างก็เสียดายแย่ ว่าแล้วก็พุ่งไปหาที่พัก ตั้งใจว่าจะอยู่เมืองนี้เสีย 2 คืนเลยละกัน ในที่สุดผมก็ได้ห้องพักเล็ก ๆ จาก โรงแรมเบลซอจจอรโน (Bel Soggiorno) ผมเลือกพักชั้นบนสุด ห้องมีระเบียงออกมานั่งชมทิวทัศน์ได้กว้างไกล

เจลาโต้ โอ้โฮเฮะ

        เมื่อเก็บของเสร็จผมก็กวาดตามองพบว่าเยื้อง ๆ กับโรงแรมมีร้านขายขนมกับกาแฟร้านเล็ก ๆ ผมเลือกที่จะเริ่มการเที่ยวอย่างช้า ๆ ด้วยการนั่งลงละเลียดคาปุชชีโนถ้วยโต หยิบบิสก็อตติท้องถิ่นขึ้นมาบิกัดเบา ๆ ไปเรื่อย ๆ คุณป้าเจ้าของร้านชื่อ ลูเซีย (Lucia) ออกมานั่งคุยด้วย ป้าพูดอิตาเลียนปนอังกฤษกับผมโดยพยายามเรียกชื่อผมว่า โล-เด๊ะ (เอ่อ...ผมชื่อโลจน์นะครับคุณป้า)

        สายวันนั้นเราสองคนคุยกันด้วยปากประกอบท่าทางอย่างสนุกสนาน เราเกิดมาเป็นป้า-หลานข้ามโลกที่หากันจนเจอ ป้านึกครึ้มอกครึ้มใจบอกผมว่า

      “นี่...โลเด๊ะ....คืนนี้จะมีการแสดงดนตรีที่โบสถ์ซาน อโกสติโน เป็นวงออร์เคสตราเล่นเพลงของศิลปินอิตาลีหลายคน รวมทั้ง Vivaldi ด้วย สนมะ?”

      “สนครับป้า” ผมรีบรับคำชวน ว่าแล้วก็กล่าวอำลาคุณป้าพร้อมกับนัดกันว่าเราจะเจอกันตอนค่ำ ๆ ที่หน้าโบสถ์ โดยผมจะรีบไปจองบัตรให้แต่ตอนนี้เลย

วิวก็สวย จานก็สวย

      สำหรับเมืองเล็ก ๆ อย่างซาน จิมิยาโนนั้น อะไรต่อมิอะไรก็หาได้ไม่ยาก ผมเดินไปเรื่อยๆ ก็หาโบสถ์เจอและจองบัตรดูคอนเสิร์ตในราคาไม่กี่บาท จากนั้นก็เดินดุ่มไปตามตรอกซอกซอยอย่างไร้ทิศไร้ทาง ผมเองก็ยังไม่รู้เลยครับว่ากำลังจะเดินไปไหนดี แต่ระหว่างที่โต๋เต๋ไปเรื่อย ๆ นั้น ผมก็ถือโอกาสเดินดูชาวบ้านเย็บผ้า ถักลูกไม้ไปเรื่อย ๆ แวะดูศิลปินวาดรูป หรือแกะสลักงานศิลป์ในสตูดิโอของพวกเขา แล้วพอผมหิว ผมก็แวะทานบิสก็อตติเติมพลัง

        เมืองนี้มีซอกเล็กซอยน้อยให้เดินวนไปมาโดยไม่น่าเบื่อ ตึกรามเก่าแก่ตามแบบฉบับทัสกานีในโทนสีน้ำตาล สวยจนสองตาไม่พอมอง

เดินกันเพลินในตรอกซอกซอยที่ซาน จิมิยาโน

        ตกเย็นผมก็เจอป้าลูเซียที่หน้าโบสถ์อีกครั้ง คืนนั้นดนตรีไพเราะเพราะพริ้งประทับใจ โบสถ์แสนสวยงามด้วยภาพเฟรสโก้ชั้นยอด เมื่อจบคอนเสิร์ตผมเดินมาส่งป้าลูเซียที่หน้าร้านก่อนกลับโรงแรม ป้าบอกว่าพรุ่งนี้มากินขนมปังและดิ่มกาแฟที่ร้านอีกนะ

        คืนนั้นผมนอนหลับไปด้วยความอิ่มใจโดยไม่ได้เปิดไกด์บุ๊คหรือรีวิวอ่านสักหน้าเดียว

        รุ่งขึ้น ผมตื่นแต่เช้า วิ่งข้ามไปหาป้าลูเซียเพื่อดื่มกาแฟพร้อมบิสก็อตติตามคำชวน ผมทัก ‘Buon Giorno’ กับป้าอย่างสนิทสนมให้สมเป็นหลานนอกไส้ และวันนี้ผมตั้งใจจะเดินไปเรื่อย ๆ อีกครั้งแบบไม่ง้อแผนที่หรือไกด์บุ๊ค

        เสร็จจากอาหารเช้า ผมเลือกเดินไปดูหอคอยต่าง ๆ ที่ตระหง่านอยู่ทั่วทุกมุมเมือง ขอสารภาพว่าจำไม่ได้ว่าแต่ละหอมีประวัติความเป็นมาอย่างไรบ้าง รู้แต่ว่าเดินแล้วเพลินและอัศจรรย์ใจกับความสามารถของคนโบราณจริง ๆ

วิวนี้ลืมไม่ลง

        จากนั้นผมก็เดินเรื่อยเปื่อยออกมานอกประตูเมืองจนเจอไร่องุ่นเล็ก ๆ ที่สามารถมองเห็นทิวเขาสลับซับซ้อนในแคว้นทัสกานี ผมเลือกใช้เวลาตลอดบ่ายนั่งมองภาพเหล่านั้นเพื่อประทับไว้ในความทรงจำ

        ช่วงหัวค่ำของซาน จิมิยาโนนั้นสวยอย่าบอกใคร โคมไฟสีเหลืองนวลช่วยสาดส่องบ้านเรือนและถนนอิฐเก่า ๆ ให้ดูโรแมนติก ผมเดินปล่อยอารมณ์ไปเรื่อย ๆ จนเสียงท้องผมร้องประท้วงว่าหิว

ล้อมวงคุย ยามเย็น

        หากเป็นเมื่อก่อน ผมคงลนลานอ่านไกด์บุ๊คว่าร้านอะไร เมนูไหนที่ต้องลอง แต่ค่ำนี้ผมเดินหาร้านอาหารโดยไม่สนใจเปิดไกด์บุ๊กเลย แล้วสองขาก็พาผมไปเจอร้าน “โดรันโดะ” (Dorandó) แล้วผมก็ปิ๊งทันที

        โดรันโดะเป็นร้านขนาดเล็ก จุได้ไม่เกิน 20 คน และอยู่ไม่ไกลจากจัตุรัสกลางเมืองเท่าไหร่ พอเข้าไปก็รู้สึกเหมือนเข้าถ้ำที่ก่อจากอิฐโบราณสีน้ำตาล หลังคาโค้งสีขาว โต๊ะเก้าอี้ก็ปูผ้าขาวสะอาด ผนังประดับภาพเขียนสวย และค่ำนั้นมีผมเป็นลูกค้ารายแรกในจำนวนไม่กี่ราย เจ้าของร้านเป็นคุณลุงใจดีที่ปรี่เข้ามานั่งคุยทักทายอย่างเป็นมิตร

สวยงามยามค่ำ

       เรื่องแรกที่สังเกตคือ คุณลุงพูดอิตาเลียนกับผม โดยเรียกผมด้วยประธานบุรุษที่สองแบบสุภาพ นั่นคือ ‘Lei’ (อ่านว่า “เหล”) ปกติคนอิตาลีมักทักทายผู้ที่อายุน้อยกว่าด้วยประธานบุรุษที่สองแบบกันเองว่า ‘Tu’ (อ่านว่า “ตู”) การที่ลุงเรียกผมว่า ‘Lei’ นั้นถือเป็นการให้เกียรติผมมาก ๆ

        น่าแปลกที่ผมไม่ได้ถามชื่อลุง ลุงเองก็ไม่ถามชื่อผม เราเรียกกันด้วยคำว่า “ซินญอร์” เฉยๆ

       เรื่องที่สอง คุณลุงบอกว่าอย่าดูเมนูอาหาร เดี๋ยวจะจัดมาให้ ผมเกรงว่าจะมาแบบแพงมหาโหด ผมเลยขอให้คุณลุงช่วยยั้งมือพร้อมกับได้กำหนดราคาอาหารมื้อนั้นไว้เป็นบรรทัดฐาน

       เรื่องที่สามคือคุณลุงเปิดโอเปร่าไป ร้องคลอไปอย่างอารมณ์ดี

       เรื่องที่สี่ คือ อาหารผมมาช้ามาก กว่าจะมาแต่ละอย่าง... ผมรอแล้วรออีก แต่ถึงจะช้าก็อร่อยทีเดียว ทั้ง ๆ ที่เป็นอาหารทัสกานีพื้น ๆ อย่างสลัดเห็ดปอร์ชินีสด ๆ โรยชีสโดยไม่ได้ปรุงอะไร สปาเกตตีกระเทียม สตูกระต่ายแสนพิเศษของร้านนี้ ตามด้วยครีมพานาคอตต้า

        เรื่องที่ห้า คือ ผมคิดว่าผมพูดอิตาเลียนได้ดีขึ้น หรืออาจจะเป็นเพราะบรรดาเหล้าต่าง ๆ ที่คุณลุงกระหน่ำมาให้ผมได้ลองดื่ม ครอบครัวของคุณลุงนั้นน่ารักมาก ๆ ต่างคนต่างออกมาทักทายและเป็นเพื่อนคุยกับผม

 

        และเรื่องสุดท้าย คือ ผมทานเสร็จตอนดึกม...า...ก และเดินออกจากร้านด้วยอารมณ์กรึ่ม ๆ ครึ้ม ๆ

       “เฮ้ย...แล้วโรงงงง...แรมมมตู...อยู่หนายฟะ เอิ๊ก!”....... เอาแล้วไง

       คืนนั้นพระจันทร์เต็มดวงกลมโตทอแสงกระทบลงบนหลังคาบ้านอิฐเก่า ๆ สวยงามจนไม่อยากหลับตา ผมนั่งดูภาพนั้นอยู่บนระเบียงไปจนเกือบรุ่งเช้า นึกย้อนถึงความสนุกของการสุ่มเที่ยวแบบตามใจตัวเอง และมิตรภาพแสนวิเศษของคนแปลกหน้า

       เฮ้อ...พรุ่งนี้แล้วที่ผมต้องจากเมืองน่ารักแห่งนี้ไปแล้ว.... อย่างน้อยก็ยังดีที่ยังมีมื้อเช้าได้ไปกล่าวลาป้าลูเซียอีกสักครั้งก่อนจะมุ่งหน้าต่อไป ไป...ไปไหนก็ไม่รู้

      ไว้ให้ถึงเวลานั้น.....ค่อยคิดละกัน

สวยสลบ ไว้พบกันใหม่

ส่งท้ายแด่นักเที่ยว

อาการเที่ยวจนเกร็ง

        เป็นอาการที่เกิดขึ้นได้เสมอกับนักท่องเที่ยว ด้วยความตั้งใจจะมาเก็บเกี่ยวประสบการณ์แบบเต็มที่ ไม่อยากพลาดอะไรสักเม็ด คำแนะนำของผมก็คือขอให้ปรับความคิดว่า ของเด็ด ของดี ไม่ได้มีแต่ในไกด์บุ๊กหรือรีวิวเสมอไป มิฉะนั้นทุกคนจะมีประสบการณ์เที่ยวเหมือนกันเป็นปลากระป๋อง

        ลองชะลอการเดินทางให้ช้าลง ดูป้ายข้างทางมากกว่าดูไกด์บุ๊ก ทำตามใจมากกว่าตามเช็คลิสต์ แล้วจะร้องออกมาว่า ‘La Dolce Vita’ อ้า......ทำไมชีวิตมันช่างสุนทรีย์จริงหนอ...

ไป ซาน จิมิยาโน (San Gimignano)

        การเดินทางไปซานจิมิยาโนไม่ใช่เรื่องยุ่งยากแต่อย่างใด เพราะมีรถบัสคันใหญ่ออกจากเมืองหลัก ๆ ในแคว้นทัสกานี ไม่ว่าจะเป็นฟลอเรนซ์หรือซีเอนา รถจะวิ่งตรงมาที่ซานจิมิยาโนเลย (บางเที่ยวอาจมีเปลี่ยนรถที่ Poggibonsi) ที่สำคัญคือ ใช้เวลาเดินทางเพียงไม่กี่ชั่วโมง โดยมีทิวทัศน์ของท้องทุ่งเขียวขจี สลับกับทิวเขาที่ซับซ้อน หมู่ดอกหญ้าหลากสี ไร่องุ่น รวมทั้งเมืองอิตาลีโบราณที่คอยทักทายมาจากยอดเขาโน้นนี้ตลอดเส้นทาง

 

Photo by Lode Nandhivajrin, Duangduen Dheerakul and Sompit Watkins
 

ABOUT THE AUTHOR
โลจน์ นันทิวัชรินทร์

โลจน์ นันทิวัชรินทร์

หนุ่มเอเจนซี่โฆษณาผู้มีปรัชญาชีวิตว่า "ทำมาหาเที่ยว" เพราะเรื่องเที่ยวมาก่อนเรื่องกินเสมอ ชอบไปประเทศนอกแผนที่ที่ไม่มีใครอยากไปเลยต้องเต็มใจเป็น solo backpacker

ALL POSTS