ท้าพายุเฮอร์ริเคนที่เซนต์ มาร์ติน
กิจกรรมของคนอยากลอง ลองฝ่าพายุสักครั้งดูสิมันเป็นอย่างไร
เปล่าครับ เปล่าครับ เปล่า เปล่า.... ผมไม่ได้หมายถึงพายุเฮอรร์ริเคนที่เป็นพายุจริง ๆ เพียงแต่ว่ามันเป็น Man-made Hurricane ที่เกิดจากเครื่องบิน อย่างที่เราเรียกกันว่า ‘Jet Blast’ นั่นเองครับ
Jet Blast คือลมชนิดอภิมหาลมที่โค-ตะ-ระจะแรงเพราะมันกำเนิดจากไอพ่นของเครื่องบินที่กำลังเร่งเครื่องเต็มกำลังแล้วพุ่งไปตามรันเวย์ด้วยพลังมหาศาลก่อนจะทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า

ว่ากันว่าเครื่องบินใหญ่ ๆ ระดับจัมโบ้เจ็ทนั้นสามารถผลิต Jet Blast ที่มีความเร็วลมสูงถึง 190 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และสามารถพัดพาทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในระยะ 60 เมตรจากไอพ่นให้ราบเรียบได้ราวกับโดนพายุเฮอร์ริเคนถล่มเลยทีเดียว
แน่นอนว่าคนสติดี ๆ ย่อมอยากอยู่ไกล ๆ เจ้า Jet Blast จอมพลังนี้ แต่ก็มีคนสติไม่ดีอีกจำนวนไม่น้อยที่พยายามจะหาโอกาสไปยืนรับพลังลม Jet Blast นี้ให้ได้
และไม่มีที่ไหนในโลกนี้จะเอื้ออำนวยต่อกิจกรรมประเภทที่ว่านี้ได้ดีกว่าหาดมาโฮ (Maho Beach) ที่เกาะเซนต์ มาร์ติน ในทะเลแคริบเบียน
เรือยักษ์เข้าเทียบท่าเมืองฟิลิปสเบิร์กแต่เช้าตรู่หลังจากรอนแรมออกจากฟลอริดาและตามมาด้วยปวยร์โตริโก้ (Puerto Rico) ตลอดระยะเวลา 3-4 วันที่ผ่านมาเรือยักษ์ต้องฝ่าคลื่นลมโหมกระหน่ำจนทำให้เรือสูง 14 ชั้นลำนี้โยกซ้ายป่ายขวาให้พอรู้สึกมึน ๆ จนมาถึงเกาะเซนต์ มาร์ตินตอนเช้านี้ในที่สุด
เซนต์ มาร์ติน (Saint Martin) เกาะขนาดเล็กที่มีพื้นที่เพียง 87 ตารางกิโลเมตรนั้นถือเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญในทะเลแคริบเบียน จนต้องเกิดการทำสงครามแย่งชิงดินแดน และในที่สุดเซนต์ มาร์ตินก็อยู่ภายใต้การปกครองของ 2 ชนชาติ......นั่นคือดัตช์และฝรั่งเศส
นั่นจึงทำให้เกาะเล็ก ๆ เกาะนี้มี 2 ชื่อ มีภาษาราชการ 2 ภาษา และมีเมืองหลวง 2 แห่ง

ฝั่งดัตช์เรียกขานเกาะนี้ว่า “ซินต์ มารเติน” (Sint Maarten) มีฟิลปสเบิร์ก (Philipsburg) เป็นเมืองหลวง และครอบครองพื้นที่ไว้ 34 ตารางกิโลเมตร
ส่วนฝรั่งเศสนั้นเรียกขานเกาะนี้ว่า “แซ็งต์ มาร์แต็ง” (Saint Martin) มีมาริโกต์ (Marigot) เป็นเมืองหลวง และครอบครองพื้นที่อีก 53 ตารางกิโลเมตรที่เหลือ
ส่วนผมนั้นขออนุญาตเรียกเกาะนี้ตามสำเนียงอังกฤษว่า “เซนต์ มาร์ติน” ตามความเคยชินนะครับ
ผมมีเวลาบนเกาะนี้อย่างจำกัดจำเขี่ยเพียงแค่ 8 ชั่วโมงเท่านั้น เพราะเย็นนี้ผมต้องรีบกลับมาขึ้นเรือยักษ์ให้ทันก่อนบ่ายหน้าลอยลำสู่เกาะอื่น ๆ ในทะเลแคริบเบียน ดังนั้นผมจึงตั้งใจว่าผมจะไปให้ครบทั้งฝั่งดัตช์และฝั่งฝรั่งเศส และแน่นอนว่าที่พลาดไม่ได้คือไปหาดมาโฮเพื่อไปรับแรงลมจากเครื่องบินไอพ่นให้เต็มปอด...

ผมเริ่มทำความรู้จักเซนต์ มาร์ตินที่ฝั่งฝรั่งเศสก่อน โดยพุ่งจากท่าเรือในฝั่งดัตช์ข้ามด่านไปยังเมืองมาริโกต์ อันเป็นเมืองหลวงในฝั่งฝรั่งเศส
เมื่อข้ามจากฝั่งดัตช์มาได้เรียบร้อยแล้วนั้น สิ่งแรกที่ผมสังเกตเห็นได้ชัดคือ “ภาษา” ครับ เพราะตัวอักษรทุกตัวบนป้ายทุกแผ่นไม่ว่าป้ายโฆษณา ป้ายบอกถนนหนทางร้านรวงทุก ๆ ป้ายพร้อมใจกันเป็นภาษาฝรั่งเศสทันที รวมทั้งผู้คนที่สัญจรไปมาด้วย
เสียงทักทาย “บงชูร์ ซาว้า?” (Bonjour, ca va?) พร้อมเอาแก้มแนบแก้มพร้อมส่งเสียงจุ๊บ จุ๊บ มีให้เห็นกันทั่วไป
ผมไม่มีจุดหมายที่เป็นหลักแหล่งในมาริโกต์ เพียงแต่อยากเดินเล่นเพื่อสัมผัสบรรยากาศเท่านั้น ผมจึงปล่อยให้ตัวเองเดินไปเรื่อย ๆ แบบแล้วแต่ขาจะพาไป

มาริโกต์ให้ความรู้สึกผสมผสานหลาย ๆ อย่าง บางช่วงก็เหมือนแถบริเวียร่าผสมโมนาโกเพราะเป็นย่านหรูริมอ่าวที่เต็มไปด้วยเรือยอชท์ ร้านกาแฟและร้านอาหารแนวกูร์เม่ต์ราคาแพง บางช่วงก็เต็มไปด้วยอาคารไม้สถาปัตยกรรมโคโลเนี่ยลที่มีสีสันจัดจ้าน และหลายครั้งผมแอบจะได้ยินเสียงดนตรีแนวแอฟโฟร่-แคริบเบียนลอยมาตามลมให้ครึกครื้น

ผมแวะนั่งเล่นที่หาด 2-3 ที่ และฝากท้องมื้อกลางวันไว้กับลอบเสตอร์ย่างสด ๆ ตัวใหญ่ ๆ พร้อมละเลียดเค้กลาวาและกาเฟโอเลต์เป็นการสะสมพลังก่อนข้ามไปหาดมาโฮที่ฝั่งดัตช์
เมื่อกลับมาที่ฝั่งดัตช์ ฟิลิปสเบิร์กก็เป็นเมืองที่คึกคักไม่แพ้มาริโกต์ โบสถ์และอาคารก่ออิฐพร้อมหน้าจั่วที่สร้างตามสถาปัตยกรรมแบบดัตช์ตั้งปะปนไปกับบ้านไม้สีลูกกวาดแสนสดใสสไตล์แคริบเบียนดูสนุก

และแน่นอนว่าไม่ว่าจะเป็นฝั่งไหน ๆ ผมก็แอบได้ยินเสียงดนตรีจังหวะเร้าใจคลุกคลออยู่ในบรรยากาศเสมอ ไม่ว่าจากนักดนตรีอารมณ์ดีที่บรรเลงสดอยู่ตามท้องถนน หรือจากร้านอาหาร ร้านกาแฟ และบาร์ที่มีอยู่ทั่ว ๆ ไปในเมืองสวยแห่งนี้
บ่ายแก่ ๆ ก็ได้เวลาที่ผมจะมุ่งหน้าไปหาดมาโฮเสียที ผมหวังว่าที่นั่นจะมีคนเพี้ยนพอ ๆ กับผมพากันมานั่ง ๆ นอน ๆ กันอยู่เต็มหาด และเราจะได้ร่วมเผชิญกับ Jet Blast ด้วยกันเสียที
หาดมาโฮตั้งอยู่ที่ติ่งทางด้านตะวันตกสุดของเกาะเซนต์ มาร์ติน และเป็นหาดที่อยู่ทางด้านใต้ของสนามบิน Princess Juliana International Airport อันเป็นสนามบินหลักของที่นี่

ดังนั้นเครื่องบินทุกลำที่บินมาลงที่นี่จะตีวงลดระดับและร่อนลงสู่สนามบินนี้ในระยะใกล้ชิดประหนึ่งว่าเฉียดหัวผู้ที่อยู่บนหาด.... นั่นคือความบันเทิงขั้นที่หนึ่ง
แต่ความบันเทิงขั้นสุดก็คือเวลาเครื่องบินกำลังจะ Take Off ออกจากรันเวย์หมายเลข 10 กำลังลมแรงมหาศาลจากไอพ่นจะพุ่งมายังผู้คนบนหาดมาโฮอย่างเต็มอัตราศึกราวพายุเฮอร์ริเคน และนั่นคือความฟินระดับทะลุสิบ
บ่ายวันนี้หาดมาโฮร้อนได้ใจเพราะแสงแดดส่องเต็มที่ ปกติคนอย่างผมนี่ไม่เคยคิดจะอาบแดดอาบลมเลยนะครับ แต่วันนั้นผมยอมหน้าไหม้ตัวไหม้นั่งรอเครื่องบินขึ้นลงอยู่ตรงนั้น
“นี่ฉันสติดีใช่ไหม?” ผมแอบตั้งคำถามนี้กับตัวเองในเสี้ยวนึงของความคิด ก่อนที่จิตใต้สำนึกจะยืนยันว่า “ใช่... แกสติดีมาก ๆ” แล้วผมก็นั่งตากแดดต่อไป พร้อมกับยิ้มให้กับตัวเอง
นานเท่าไหร่ไม่รู้ แต่ผมเริ่มร้อนจนทนไม่ไหว เครื่องบินก็ไม่มาขึ้นหรือลงเสียที จนผมต้องเอ่ยปากถามเพื่อนร่วมอุดมการณ์แถวนั้นก่อนได้คำตอบว่า
“ไปที่ Sunset Bar & Grill เลย ที่นั่นมีตารางบินแจ้งเวลาเครื่องขึ้น-ลง แล้วบอกประเภทเครื่องบินด้วยนะว่าเป็นเครื่องอะไร รุ่นอะไร”
ผมรีบแจ้นไปที่บาร์ดังกล่าวทันที
จริง ๆ ด้วย บนกระดานที่นี่มีตารางเที่ยวบินเข้า-ออกจากสนามบินนี้พร้อมระบุประเภทเครื่องบินไว้เสร็จสรรพ
ผมเหลือบดูนาฬิกาแล้วพบว่าเวลาของผมบนเกาะนี้ใกล้หมดเต็มที อีกไม่กี่ชั่วโมงผมก็ต้องรีบกลับไปลงเรือยักษ์ ผมแอบหวังว่าผมจะมีโอกาสสัมผัสพลังลมของเครื่องบินใหญ่ ๆ อย่างจัมโบ้เจ็ท 747 ไม่ว่าขณะร่อนลงหรือบินขึ้น
แต่.... ผมก็พบความจริงว่าเที่ยวบินที่จะมาที่นี่นั้น จะเป็นเที่ยวบินจากเกาะใกล้ ๆ ในแคริบเบียน และเป็นเครื่องเล็กขนาด 737 เท่านั้น ส่วนเครื่องใหญ่ ๆ ที่เป็นเที่ยวบินจากยุโรปนั้น ได้บินกลับกันไปหมดแล้ว
“เอาวะ.... ก็ยังดี” ผมพยายามคิดด้านบวก และกลับไปตั้งป้อมรออยู่ที่หาด
และแล้วเครื่องบินลำหนึ่งก็ค่อย ๆ แหวกม่านฟ้าลดระดับลงมาเหนือทะเลสีครามใส เสียงคำรามของมันชัดขึ้นเรื่อย ๆ เรื่อย ๆ จนดังสะท้านแผดก้องอยู่เหนือหัวผมในระยะไม่เกิน 30 เมตร ผู้คนลุกขึ้นกระโดดโลดเต้นโบกไม้โบกมือ ต่างคนต่างก็เลือกมุมที่สวยที่สุดที่จะจับภาพสำคัญนั้นไว้ให้ได้เมื่อเครื่องบินลำใหญ่ปรากฏอยู่ห่างจากหัวพวกเขาไปไม่กี่เมตร และเมื่อเครื่องบินร่อนลง ณ รันเวย์หมายเลย 10 ก็มีลมแรงออกมาปะทะจนรู้สึกได้
เมื่อเหตุการณ์จบลงเพื่อน ๆ สุดเพี้ยนต่างหัวเราะสนุกสนาน แบ่งคลิปแบ่งรูปกันดู ก่อนจะกลับสู่ภาวะปกติเพื่อรอเที่ยวบินต่อไป
สนามบิน Princess Juliana ไม่ได้มีเที่ยวบินมาลงบ่อยเหมือนสนามบินเมืองใหญ่ ๆ เฉลี่ยวันนึงอาจอยู่ที่ 8 – 10 เที่ยวเท่านั้น ดังนั้นบ่ายนั้นผมจึงมีโอกาสชมเครื่องบินลง 2 ครั้งอย่างสนุกสนานและตื่นเต้น การที่มนุษย์ตัวเล็ก ๆ อย่างเราได้มีโอกาสเข้าใกล้เครื่องยนต์ที่ทรงพลังเช่นนี้เป็นสิ่งที่กระตุ้นต่อมอะดรีนาลีนได้เป็นอย่างดี
ส่วนเที่ยวบินขาขึ้นนั้น ผมลุ้นมาก ๆ เพราะว่าเวลามันช่างฉิวเฉียดกับเวลาที่ผมต้องเดินทางจากหาดมาโฮไปยังท่าเรือเพื่อลงเรือยักษ์
และในที่สุดผมก็มีโอกาสในนาทีสุดท้ายเมื่อใกล้บ่าย 3 โมงเต็มทน เครื่องบินลำเล็กขนาด 737 กำลังกลับตัวบนรันเวย์หมายเลข 10 ก่อนจะจอดนิ่งเพื่อรอสัญญาณให้วิ่งขึ้นจากหอบังคับการ
ไม่กี่วินาทีต่อมามันแผดเสียงลั่นพร้อมเร่งเครื่องเต็มกำลัง ปริมาณลมมหาศาลจากรันเวย์พุ่งมายังหาดจนทรายปลิวคลุ้ง ผู้คนยิ่งโห่ร้องดีใจสนุกสนาน ก่อนที่เครื่องจะทยานไปข้างหน้าและลอยสู่ฟ้า

ในขณะที่ผมเลือกอยู่บนชายหาด ทิ้งระยะไกลออกมาจากปลายรันเวย์พอสมควร ฝรั่งวัยรุ่นจำนวนมากไปยืนเกาะรั้วรอรับแรงลมกันแบบไม่กลัวตาย ผมล่ะอึ้งพวกนี้จริง ๆ
ความที่ฝุ่นทรายจากแรงลมปลิวคลุ้งมาก ๆ และทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ผมมานึกได้ว่าผมไม่ได้บันทึกรูปไว้เลย แต่ในความเสียดายทั้งหลายคงไม่เสียดายเท่ากับที่ผมพลาดโอกาสรับพลัง Jet Blast จากเครื่องบินจัมโบ้ขนาดใหญ่ทั้งหลาย และอดคิดไม่ได้ว่า
“...ถ้ามันเป็นเครื่องยักษ์ใหญ่อย่างแอร์บัส A 380 ล่ะก็... หาดคงหายไปทั้งหาดแน่ ๆ” ผมแอบคิดในใจหลังสัมผัสประสบการณ์เฮอร์ริเคนจากไอพ่นเครื่องบินด้วยตัวเองมาหมาด ๆ
เย็นวันนั้น เรือยักษ์ถอนสมอและบ่ายหน้าออกสู่ทะเลแคริบเบียนอีกครั้ง ทิ้งเกาะเซนต์ มาร์ตินไว้เบื้องหลัง เรือค่อย ๆ ออกจากท่าฟิลิปสเบิร์กผ่านสนามบิน Princess Juliana ที่ผมไปมาเมื่อบ่าย
ผมยืนแสบหน้าแสบหลังด้วยอาการหน้าไหม้หลังไหม้บนดาดฟ้า ตายังแดงเรื่อ ๆ เพราะเม็ดทรายจากลมแรงเมื่อบ่ายเข้าไปปะทะ
ผมคิดในใจว่า “ตกลงนี่ฉันสติดีใช่ไหม?” และจิตใต้สำนึกผมยังยืนยันว่า “ใช่... แกสติดีมาก ๆ
-
หากอยากชมภาพการประลองกำลังลมที่หาดมาโฮสามารถหาดูได้ใน Youtube ลองพิมพ์คำว่า Princess Juliana Airport Saint Martin หรือ Maho Beach ได้ครับ
- มีนักท่องเที่ยวชาวนิวซีแลนด์วัย 57 ปีเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุจาก Jet Blast เมื่อ 14 กรกฎาคมปีที่ผ่านมา เป็นลมจากเครื่องบินพาณิชย์ขนาดโบอิ้ง 737 ทางการเซนต์ มาร์ตินได้ประกาศเตือนนักท่องเที่ยวให้อยู่ห่างจากรั้วสนามบินโดยเด็ดขาด
Photo by Lode Nandhivajrin and Nukpida Chanlenglert