สำหรับคนแฟชั่น Passion คือ #ของมันต้องมี
สารคดี 3 เรื่องที่คนรักแฟชั่นไม่น่าพลาด
เร็ว ๆ นี้ก็คิดอยู่ในใจว่า อยากดูหนังสารคดีแฟชั่นอีกเยอะๆ แต่ไม่ค่อยจะมีให้ดู ก็พลันคิดได้ต่อว่าน่าจะลองไปคุ้ยเขี่ยดูลิสต์หนังใน Netflix เผื่อจะเจอของดี แล้วก็จริงดังคาด เพราะสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้ดูสารคดีแฟชั่นจนตาแฉะสามเรื่องซ้อนจาก Netflix แล้วแต่ละเรื่องก็สนุกคนละแบบ เลยอยากเอามาเล่าสู่กันฟังต่อไว้ ณ ที่นี้
ใครเคยดู Sex and the City ต้องรู้จักรองเท้าที่แคร์รี่พูดถึงอยู่บ่อย ๆ ว่าเป็น shoe soulmate ของเธอ ยี่ห้อ “Manolo Blahnik” ส่วนหนังเรื่อง Manolo: The Boy Who Made Shoes for Lizards คือสารคดีที่ไปเจาะลึกชีวิตของดีไซเนอร์ชื่อเดียวกับแบรนด์ผู้อยู่เบื้องหลังโลกของรองเท้าสวย ๆ ยี่ห้อนี้ที่เป็นยี่ห้อเดียวเท่านั้นที่ Anna Wintour บก.อเมริกันโว้คใส่
การเจาะลึกที่บอกคือไล่ตั้งแต่การจับมาโนโล่มานั่งสัมภาษณ์และตามไปถ่ายชีวิตและการทำงานของเขาในวัย 75 ปีในวันนี้ พร้อมทั้งเล่าสลับย้อนหลังกลับไปในชีวิตตอนเด็ก ๆ จนโตขึ้น แล้วก็พัฒนาตัวเองมาสู่การเป็นดีไซเนอร์รองเท้าในที่สุด สลับกับการไปสัมภาษณ์เพื่อน ๆ คนที่เคยร่วมงาน ไปจนถึงนางแบบ เซเลบริตี้ และอีกมากมายที่เคยใกล้ชิดกับเขา ไม่ว่าจะเป็น Anna Wintour, John Galliano, Rihanna, Rupert Everett, Andre Leon Talley ฯลฯ
ถือว่าเป็นสารคดีแฟชั่นที่สนุกมาก ๆ คือเราได้เห็นว่ามาโนโล่ดูเป็นคนเรื่องเยอะและเอาแต่ใจนะ 55 แต่ว่าไม่ได้เป็นความเรื่องเยอะที่เราไม่อยากเข้าใกล้น่ะ เรากลับมองว่าพี่น่ารัก และเป็นคนที่มี passion เยอะมากๆ กับการสร้างรองเท้าสวยๆ ให้ผู้หญิงใส่
ความเก๋คือพี่ไม่ประสงค์จะทำงานกับใคร และไม่เข้าใจด้วยว่าการทำงานแบบมีทีมคืออะไร แค่ให้มีใครอยู่ในบ้านด้วยยังไม่ชอบเลย และเพราะไม่ชอบทำงานกับใคร จนกระทั่งถึงทุกวันนี้ มาโนโล่ก็ยังทำเองทุกอย่าง วาดแบบเอง เดินทางไปโรงงานผลิตที่อิตาลีเอง แล้วก็ไปขึ้นแบบรองเท้าด้วยตัวเองกับมือ ก่อนจะปล่อยให้โรงงานผลิตต่อจากแบบที่เค้าทำ เรานับถือ passion ของมาโนโล่ตรงนี้ และนับถือไฟในการทำงานที่ไม่เคยมอดของเขาอย่างแรง
อาจจะเป็นหนังแฟชั่นที่มีความเป็นส่วนตัวสูงหน่อย เพราะผู้กำกับ Francesco Carozzini จริง ๆ แล้วเป็นลูกชายของ Franca Sozzani อดีตบรรณาธิการบริหาร Vogue Italia ผู้ล่วงลับ ซึ่งเป็น subject
หลักของหนังแฟชั่นเรื่องนี้ ที่เล่าเรื่องราวชีวิตของ Franca ตั้งแต่เด็กจนโตเป็นสาว มาจนถึงช่วงมีชีวิตคู่ที่ไม่ประสบความสำเร็จ ก่อนจะเข้าสู่โหมดทำงานที่กลายเป็น passion ก้อนใหญ่มาก ๆ ในชีวิตของเธอ และเป็นสิ่งที่เธอทุ่มสุดใจเพื่อก้าวข้ามทุกความคาดหวังของผู้คนและทำให้ Vogue Italia กลายเป็นนิตยสารแฟชั่นเล่มสำคัญในวงการแฟชั่นที่กล้าพูดถึงประเด็นร้อนในสังคมผ่าน fashion set ที่ท้าทายทุกจริตของวงการ
เกียรติประวัติของ Franca นี่พูดเลยว่ายาวเหยียดจนเล่ากันสามวันแปดวันไม่จบ แต่ดูหนังเรื่องนี้จบแล้วแอบเศร้านิดหน่อยที่เธอเสียชีวิตไปแล้ว ยังดีที่ลูกชายจับกล้องมาถ่ายแม่ไว้หนึ่งปีก่อนเสียชีวิตพอดี พวกเราเลยได้ดูกัน ..พูดไปแล้ว จริง ๆ นึกสงสัยอยู่เล็ก ๆ เหมือนกันว่าถ้าผู้กำกับเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่ลูกชาย มุมมองที่หนังมีจะออกมาเป็นแบบไหน
นี่ก็สนุกไปอีกแบบสำหรับหนังแฟชั่นเรื่องนี้ที่ขอดเกล็ดประวัติและการทำงานของ Jeremy Scott ดีไซเนอร์ชาวอเมริกันขนานแท้ที่โตมาในฟาร์มที่เมืองแคนซัส ซิตี้ แต่รักและหลงใหลในแฟชั่นมากจนพาตัวเองมาเรียนนิวยอร์ก ย้ายไปปารีส ทำคอลเลคชั่น สร้างแบรนด์ของตัวเองขึ้นมา จนในที่สุดก็ได้ทำทั้งแบรนด์ตัวเอง และเป็นดีไซเนอร์ที่ Moschino จ้างมาพลิกโฉมแบรนด์ซะใหม่จนไฉไลกว่าเดิม จริง ๆ
ดูหนังไปจะรู้สึกก้ำกึ่งเล็ก ๆ ว่า Moschino เป็นผู้อยู่เบื้องหลังการทำให้เกิดสารคดีเรื่องนี้ไหม เพราะหนังค่อนข้างพูดถึงงานของเจเรมี่ในช่วงที่มาทำงานให้ Moschino เยอะมาก
แต่ว่านั่นไม่ได้ทำให้หนังสนุกน้อยลง เพราะฟุตเทจที่ไปตามถ่ายมามันน่าดูชมทั้งสิ้น เช่นฟุตเทจช่วงที่เจเรมี่ไปทำชุดให้ Katy Perry ตอนที่เธอไปแสดงบนเวที Superbowl Half-time Show แบบได้เจาะลึกไปเห็นหลังเวทีโดยละเอียด หรือฟุตเทจจากเบื้องหลังการทำงานของเจเรมี่กับซุปเปอร์สไตลิสต์ตัวแม่ของวงการอย่าง Carlyne Cerf De Dudzeele (ผู้อยู่เบื้องหลังงานสไตลิ่งของ Vogue เล่มแรกที่ Anna Wintour เป็นบก.) รวมไปถึงรายละเอียดเรื่องที่เจเรมี่รับมือกับคำวิจารณ์ของนักวิจารณ์แฟชั่นหลาย ๆ คนที่บอกว่า งานของเขาไม่มีรสนิยม แต่ปรากฏว่าขายดิบขายดีมีคนซื้อใส่กันมากมาย (ซึ่งอาจจะเป็นที่มาของชื่อเรื่อง)
จริง ๆ ดูทั้งสามเรื่องนี้แล้วก็นึกสงสัยว่านอกจากอาชีพดีไซเนอร์หรือบก.นิตยสารแฟชั่นที่ทรงอิทธิพลแล้ว ยังมีคนตัวเล็ก ๆ อีกหลายสาขาอาชีพในวงการแฟชั่นนะ ที่ขับเคลื่อนธุรกิจนี้ให้ก้าวไปข้างหน้า แต่ไม่เคยมีใครสนใจมากพอที่จะยกกล้องไปตามถ่ายพวกเขามากเท่าไหร่ เช่น ชีวิตของซุปเปอร์สไตลิสต์อย่าง Carlyne Cerf De Dudzeele อันนี้เราว่าน่ารู้ หรือคนที่เป็นผู้ช่วยดีไซเนอร์ซึ่งมีบทบาทสำคัญไม่แพ้ตัวดีไซเนอร์อย่าง Pablo Olea เพื่อนรักผู้เป็นมือขวาของ Jeremy Scott หรือ Pieter Mulier มือขวาของ Raf Simons ที่ตามไปทำงานกับราฟทุกที่ ตั้งแต่ Jil Sander มา Dior และ Calvin Klein
ในปัจจุบัน เราว่าชีวิตของคนกลุ่มนี้ก็น่ารู้และน่าสนใจไม่แพ้กันเลย (ถ้าไม่สำคัญจริง Sarah Burton อดีตมือขวาของ McQueen คงไม่ได้ขึ้นมาอยู่ในจุดที่เธออยู่ตอนนี้แน่นอน) หวังว่าในอนาคตจะมีสารคดีแฟชั่นของพวกเขาให้เราได้ดูกันบ้าง