อะไรดรีส์พี่ก็ว่าดี!
เดือนนี้มีอีกหนึ่งสารคดีแฟชั่นกำลังจะเข้าโรงฉาย นั่นก็คือ DRIES ภาพยนตร์สารคดีที่บอกเล่าชีวิตและการทำงานของ Dries Van Noten อีกหนึ่งแฟชั่นดีไซเนอร์ที่เราอยากให้คุณรู้จักมากขึ้น
เนื่องในโอกาสที่ภาพยนตร์สารคดีเรื่อง Dries ที่บอกเล่าเรื่องราวการทำงานและชีวิตของแฟชั่นดีไซเนอร์คนโปรดตลอดกาลชาวเบลเยี่ยมของเราที่ชื่อ Dries Van Noten กำลังจะเข้าโรงฉายตั้งแต่วันพฤหัสบดีที่ 23 พฤศจิกายนเป็นต้นไป เราคิดว่าน่าจะถึงเวลาเสียทีที่เราจะเล่าเรื่องของพี่ Dries Van Noten แฟชั่นดีไซเนอร์คนที่เรารักและหลงใหลในผลงานมากที่สุดคนหนึ่งในวงการแฟชั่นคนนี้ให้ทุกคนอ่านกันที่นี่
ถ้าว่ากันในวงการแฟชั่น สิ่งที่คนในวงการฯพูดถึงเขามากที่สุดน่าจะเป็นเรื่องของการที่เขาเป็น “ดีไซเนอร์อิสระที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในโลก” (the most successful independent fashion designer in the world) ซึ่งหมายถึงว่า แบรนด์ Dries Van Noten ของเขา ไม่ได้อยู่ภายใต้อาณาจักรแฟชั่นขนาดใหญ่อย่าง LVMH หรือ Kering หรืออื่นใดทั้งสิ้น ตัว Dries Van Noten เป็นทั้งดีไซเนอร์และซีอีโอเจ้าของแบรนด์โดยสมบูรณ์ เพราะก่อร่างสร้างบริษัทมาด้วยการรับจ๊อบในฐานะดีไซเนอร์รับจ้างที่รับจ้างออกแบบเสื้อผ้า สปอร์ตแวร์ เสื้อผ้าเด็ก และอีกมากมาย เพื่อให้ได้สตางค์เอามาลงทุนในบริษัทของตัวเองที่เปิดขึ้นมาด้วยการทำเสื้อผ้าผู้ชายก่อนในปี 1986 จนเมื่อมีเงินมากพอที่บริษัทจะรันไปได้ด้วยตัวเองแล้วนั่นแหละ เขาจึงเลิกรับจ๊อบแล้วก็สร้างบริษัทนี้ให้เติบโตอย่างไม่ทะเยอทะยานมาเรื่อย ๆ จนถึงปัจจุบัน
อีกสิ่งหนึ่งที่หลายคนเล่าลือในความเก๋ของ Dries Van Noten ก็คือเขาไม่เคยโฆษณาแบรนด์ตัวเอง ความจริงในสัมภาษณ์ครั้งหนึ่ง Dries พูดว่า เขาเคยนะ ตอนที่เริ่มมีเงินก็เคยซื้อแอดลงในแมกกาซีนแฟชั่นเป็นบางเล่ม เสร็จแล้วก็มีเล่มที่เขาไม่ได้ซื้อมาบ่นใส่ว่า เฮ้ย เราก็เคยเขียนถึงคอลเลคชั่นของคุณดีมาก ทำไมคุณไม่มาซื้อแอดกับเราบ้าง ซึ่งสาเหตุมันไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าการที่งบเขามีจำกัด ก็เลยซื้อได้เท่าที่ซื้อได้ พอมีปัญหาแบบนี้เกิดขึ้น คุณ Dries ก็เลยตัดสินใจว่า งั้นไม่ซื้อแอดก็ได้ สตางค์ที่พอเริ่มจะมีมากขึ้นในบริษัท ขอเอาไปลงทุนกับสิ่งที่น่าจะพีอาร์ตัวเองได้ดี พร้อมกับที่จะสื่อสารความเป็น Dries Van Noten ออกไปยังลูกค้า สื่อ และผู้บริโภคในวงกว้างมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ นั่นก็คือ การทำแฟชั่นโชว์
คอลเลคชั่น Menswear Spring/Summer 1992 คือคอลเลคชั่นแรกที่คุณดรีส์เลือกทำแฟชั่นโชว์ ก่อนที่ในอีก 5 คอลเลคชั่นถัดมาเขาถึงจะเริ่มทำโชว์ Womenswear และจากวันนั้นจนถึงวันนี้ ถ้านับถึงเฉพาะคอลเลคชั่น Womenswear Fall/Winter 2017 (ล่าสุดเขาเพิ่งโชว์คอลเลคชั่น Spring/Summer 2018 ทั้งของชายและหญิงไปเพราะ..มันก็ต้องโชว์ล่วงหน้าเนอะ) คุณดรีส์ทำแฟชั่นโชว์ออกมาครบ 100 คอลเลคชั่นพอดี ซึ่งความเก๋ก็คือ คอลเลคชั่นที่หนึ่งร้อยของเขาเป็นการหยิบลายพริ้นท์เด่น ๆ ที่เขาเคยทำในอดีตมาเล่าใหม่ โดยใส่ลายพริ้นท์อีกหนึ่งลายทับลงไปจนออกมาเก๋กว่าเดิม (เรื่องการใส่ print on print on print บนเสื้อผ้าชิ้นเดียวแล้วออกมาสวยนั้นคุณดรีส์ถนัดมาก)
เราคิดว่า สิ่งที่ทำให้เราชอบงานของ Dries Van Noten มาก ๆ มาตลอดหลายปีนี้ก็คือ สำหรับเรา เราถือว่า Dries Van Noten เป็นศิลปิน แม้ว่าเขาจะพูดเสมอว่า เขาไม่ได้ทำงาน pure art นะ เพราะเสื้อผ้าต้องขายได้ด้วย มันจึงเป็นงาน commercial ซะมากกว่า แต่สำหรับเรา เราเชื่อในสิ่งที่ไนเจลพูดกับแอนดี้ใน The Devil Wears Prada ว่า “Fashion is greater than art. Because you live your life in it.”
ยิ่งเราไปหาอ่านหรือดูคลิปบทสัมภาษณ์ต่าง ๆ ถึงวิธีการคิดงานและวิธีการสร้างสรรค์งานของเขา เราก็ยิ่งชอบ เรารู้สึกว่า นอกจาก Dries Van Noten จะสร้างงาน wearable art ที่สวยมาก ๆ แล้ว วิธีคิดของเขา มันช่างเป็นศิลปินที่ออกจะ perfectionist เอามาก ๆ เสียนี่กะไร ยกตัวอย่างเช่น ลายพิมพ์ใด ๆ ก็ตามที่เราเห็นบนผ้าของเขา ทั้งหมดเป็นสิ่งที่มาจาก creative thinking ของเขาก่อนทั้งสิ้น เขาไม่ได้ไปเดินสำเพ็งแล้วเลือกผ้าสวย ๆ ที่มีขายทั่วไปมาตัดเสื้อ เขาเองต่างหากที่ไปบรีฟโรงงานผลิตผ้าบอกว่าอยากได้ผ้าอย่างไร พิมพ์ลายแบบไหนในแต่ละคอลเลคชั่น ถ้าพิมพ์ลายผิดเพี้ยนไปจากที่คิดไว้ พี่ขอโรงงานให้พิมพ์ผ้าให้ใหม่เลยจ้า หรือบางคอลเลคชั่น เราเห็นเสื้อหรือกางเกงบางตัวเป็นลายผ้าสามลายต่อกัน โปรดอย่าเข้าใจผิดคิดว่าพี่พิมพ์ผ้ามาสามลายแล้วเอามาเย็บต่อกันนะ เพราะถ้าไปดูใกล้ ๆ จะเข้าใจว่า จริง ๆ แล้ว พี่เป็นคนบรีฟโรงงานให้พิมพ์สามลายนี้ต่อกันเองในเนื้อเดียว ซึ่งคิดดูว่าต้นทุนมันต้องแพงกว่าพิมพ์แยก แต่เอามาเย็บต่อกันมันไม่สวยไง พี่ไม่ชอบ 55
อีกอย่าง เราคิดว่าความเป็นดีไซเนอร์อิสระของ Dries Van Noten น่าจะเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เรารู้สึก connect กับเขามาก ๆ อธิบายเพิ่มเติมก็คือ ความอิสระในการทำงานของเขา นำไปสู่การที่เขาเลือกทำในสิ่งที่เขาสนใจ รัก และหลงใหลเป็นหลัก เช่นการที่เสื้อผ้ายังเป็น main product ที่กินเปอร์เซ็นต์ของยอดขายของบริษัทมากกว่าแอคเซสซอรี่อย่างกระเป๋า รองเท้า และอื่น ๆ ที่เอาจริง ๆ ทำเงินง่ายและเร็วกว่ามาก (ดังเช่นที่แบรนด์ใหญ่ ๆ ทำกัน) แน่นอนว่าเสื้อผ้าของ Dries Van Noten ราคาไม่ได้ถูก แต่ความไม่ถูกของเสื้อผ้าที่เห็นนั้น มันสะท้อนออกมาจากความคิดสร้างสรรค์และคุณภาพของตัวงานที่เห็นตรงหน้ามากกว่าอย่างอื่น
ถ้าคุณสงสัยว่าทำไมกระเป๋ายี่ห้อ Chanel ถึงแพง คุณลองไปดูโชว์ Chanel ที่ Karl Lagerfeld เนรมิตออกมาแต่ละครั้งสิ บางโชว์ใช้ยานอวกาศที่ทะยานขึ้นได้เป็นฉากหลัง บางโชว์สร้างท่าอากาศยานขึ้นมาใหม่ บางโชว์ใส่ลูกโลกลูกเบ้อเริ่มวางไว้ตรงกลางแล้วให้นางแบบเดินวนรอบ ฯลฯ การลงทุนในฉากของแฟชั่นโชว์ที่เบอร์ใหญ่ขนาดนั้นจะไม่ให้คิดว่าเป็นเหตุผลที่ทำให้ Chanel มาชาร์ตค่ากระเป๋าใบจิ๋วด้วยเงินหลักแสนได้ไง แต่ Dries Van Noten ไม่มีอะไรแบบนี้ เพราะโฟกัสของการทำโชว์คือ ทำอย่างไรที่จะนำเสนอเสื้อผ้าและวิธีคิด/คอนเซ็ปต์เบื้องหลังการสร้างสรรค์เสื้อผ้าออกไปให้ได้ดีที่สุด
ในรายละเอียดของการทำงาน ความเป็น perfectionist ของ Dries Van Noten ยังนำพาให้เขาเป็นคนที่ไม่จ้าง studio director มาช่วยทำงาน แต่เขาจะทำงานนี้ด้วยตัวเอง เพราะเขาอยากให้ทุกรายละเอียดของงานผ่านตาเขาทั้งหมด (จริง ๆ คือพี่สนุกกับการจับต้องทุกอย่างด้วยตัวเองด้วย แม้รู้ตัวว่าจะลดความเหนื่อยไปได้เยอะถ้ามีคนช่วยตัดสินใจ) ก็แปลว่างานออกแบบและสร้างสรรค์ภายใต้ชื่อ Dries Van Noten นั้น ทั้งหมดมาจากมันสมองและการตัดสินใจของผู้ชายคนเดียวคนนี้ และหมายความว่า หากเราคิดจะซื้ออะไรของ Dries Van Noten สักชิ้น เราจะได้ซื้องานที่ผู้ชายชื่อ Dries Van Noten เป็นผู้ออกแบบจริง ๆ
ทั้งหมดที่เล่ามาคิดว่าน่าจะพอบอกเล่าส่วนหนึ่งของความเป็น Dries Van Noten ให้ได้เห็นภาพกัน แต่ถ้าอยากดูในรายละเอียดของการทำงาน แถมด้วยการเปิดปากพูดชีวิตส่วนตัวของเขาแบบที่ไม่เคยพูดที่ไหนด้วย เรียนเชิญทุกท่านไปเยี่ยมเยือนโรงภาพยนตร์ในเครือเอสเอฟ กับหนังเรื่อง DRIES ตั้งแต่วันที่ 23 พฤศจิกายนนี้เป็นต้นไปจ๊ะ
เช็ครอบฉาย คลิก