ตูลูสฉบับรวบรัด วันเดียวรู้เรื่อง
เบื่อช้อปปิ้งที่ปารีสแล้วหรือยัง ทัวร์ไร่ไวน์ก็ไปมาจนมึนแล้วใช่ไหม ลองแวะไปเมืองยุคกลางน่ารักๆ ทางภาคใต้ของฝรั่งเศสอย่าง “ตูลูส” ดูสิคือมันยังไม่มีบินตรงกรุงเทพฯ-ตูลูสหรอกนะ แต่บอกเผื่อไว้ถ้าแวะไปฝรั่งเศส หรือแม้แต่สเปน โมนาโคและอิตาลีที่อยู่ห่างออกไปนิดเดียว จริงๆ แล้วตูลูสไม่ใช่บ้านนอก แต่เป็นเมืองใหญ่อันดับสี่ของฝรั่งเศสเลยทีเดียวเพราะเป็นเมืองที่มีคลอง Canal du Medi พาดกลางเมืองไปออกทั้งฝั่งเมดิเตอเรเนียนและแอตแลนติก เมืองนี้เขาอาจไม่ได้ขึ้นชื่อเรื่องถนนช้อปปิ้ง ไวน์หรืออาหารเชฟมิชิลินสตาร์ แต่ก็มีของดีพอตัวเลยเชียวล่ะ จริงๆ แล้วมิสมาทริปนี้ด้วยเรื่องงาน แต่ด้วยความซอกแซกและอยากรู้อยากเห็นเลยต้องเจียดเวลาเที่ยวดูนี่นู่นนั่นซักหน่อย ทริปแสนสั้นมีเวลาเดินเที่ยวส่วนตัวรวมแล้วไม่ถึงวันเท่านั้น แต่กระนั้นก็เจอของดีอยู่ไม่น้อย รีบไปดูกันเลยก็แล้วกัน เดี๋ยวเขามาตามไปทำงาน
สะพาน Pont Neuf (สะพานใหม่) เชื่อมเขตเมืองเก่าเข้ากับอีกฝั่งของแม่น้ำในเมืองตูลูส
รอบๆ ยังมีโบสถ์และวิหารโรมันแคธิลิกอีกมากมายน่าสนใจ ถ้าอินกะวัดวาขอแนะนำ Toulouse Cathedral (Cathédrale Saint-Étienne de Toulouse) ที่อายุอานามน่าจะพอๆ กับบาซิลิก้าและมีความสำคัญคือเป็นที่ทำงานของอาร์คบิชอปของเมือง ซึ่งถือว่าเป็นสมศักดิ์ชั้นสูง อาคารยังถูกจัดให้เป็น “อนุสรณ์สถานแห่งชาติ” (Monument Historique) อีกด้วย ด้านในมีกระจกสีรูปทรงแปลกๆ เช่นรูปดอกกุหลาบมากมาย แถมยังมีพิพิธภัณฑ์อีกสองสามแห่งที่น่าแวะด้วยแต่ด้วยเวลาจำกัดเลยต้องแปะโป้งไว้ก่อนเดินมาถึงแยกก็เห็นเด็กๆ เขามาออกกันสเก็ทช์ภาพที่มุมถนน ถามไปจนเมื่อยมือได้ความว่า บ้านหัวมุมที่ว่าคือบ้านแบบดั้งเดิมของเมืองนี้ (หรือย่านนี้ อะไรซักอย่าง) ที่ก่ออิฐและใช้เสาไม้ไขว้กันเป็นโครงเพิ่มความแข็งแรง เสาไม้ที่ว่านี้ใช้โคลนและฟางมาอัดข้างในด้วยเหตุผลอะไรก็ไม่ทราบได้ ชาวตูลูสสร้างบ้านแบบนี้มานมนานจนปี 1463 บ้านพ่อครัวอบขนมคนนึงแกลืมดับไฟในเตาอบ ไฟเลยไหม้วอดแทบทั้งเมืองนานสิบสองวัน จนเหลือบ้านแบบนี้แค่ 200 หลังเท่านั้น ทางการเลยออกกฏใหม่ ให้ใช้แต่อิฐและหินสร้างบ้านเท่านั้นเพื่อป้องกันโศกนาฏกรรมแบบนี้อีก ส่วนชะตากรรมของพ่อครัวคนนั้นเป็นอย่างไรก็สุดจะคาดเดา แต่คิดว่าจบไม่สวยแน่ๆ
สังเกตที่ป้ายชื่อถนนบ้านเสาไม้นี้เห็นว่าใช้ป้ายสีเหลือง นั่นก็เพราะทำให้คนเดินเท้ารู้ว่าถนนนี้อยู่เลียบแม่น้ำ ส่วนถนนและตรอกอื่นๆ ที่ใช้ป้ายสีขาวคือย่านในเมือง ขอให้อดทนกับการเดินเท้าในเมืองนี้ซักหน่อยเพราะมันยุกยิกมะลุดตุ๊ดติ๊ดมาก (ตามแบบเมืองยุคกลลางทั่วไป) แถมทางเดินเท้าและพื้นถนนบางทีอยู่ในระดับเดียวกัน อย่าเดินเพลินเดี๋ยวจะโดนบีบแตรใส่ก้นเหมือนมิส ตูลูสมีจักรยานสาธารณะให้ปั่นเล่นในเมืองด้วย เหมือนซุ้มปั่นปั่นในกรุงเทพฯ รู้สึกว่าครึ่งชั่วโมงแรกจะฟรี ต่อไปคิดตังค์ตามระยะเวลา มีจุดจอดทั่วไปในเมืองเกือบสิบแห่ง
อ่ะ ช้อปปิ้ง มีถนนคนเดินคือ Rue Lafayette มีห้างร้านแบรนด์เนมและอื่นๆ ที่เราคุ้นชื่อกันดี (เพราะบ้านเราก็มี) ร้าน souvenir ก็มีบ้างประปราย และเป็นร้านเล็กๆ คาดว่าน่าจะเพราะตูลูสยังไม่มีนักท่องเที่ยวมาเยี่ยมเยียนซักเท่าไหร่ แต่ของขึ้นชื่อคือพวกสกินแคร์ น้ำหอมและเครื่องหอมที่ทำจากดอกไวโอเลทสีม่วงอ่อนๆ น่ารัก น่าสนใจไปอีกแบบและราคาไม่แพง น่าซื้อเป็นของฝาก ร้านกาแฟบางที่เขาเอามาใส่มาการอง ใส่พาย ทำชา ทำน้ำปั่นอะไรด้วย กลิ่นมันไม่เชิงลาเวนเดอร์ซะทีเดียวแต่ก็มาแนวนั้น
มาการองกลิ่นดอกไวโอเลท
คุณดาเมียน เจ้าของร้าน La Halle Aux Pains เอื้อเฟื้อขนมปังแก่นักท่องเที่ยวผู้หิวโหยในระหว่างที่มิสกำลังจิบกาแฟที่ค่าเฟ่ กินครัวซองต์หอมเนยตรงหน้าด้วยความตื่นเต้น คุณพี่โต๊ะข้างๆ ทราบชื่อภายหลังว่าดาเมียน ชะโงกหน้ามาถามว่าเป็นไงอร่อยไหม เลยพยักหน้าไปแบบงงๆ ตอนแรกนึกว่าฮีเป็นเจ้าของร้าน แค่ปรากฏเป็นคนอบขนมปังร้านข้างๆ ชื่อ La Halle Aux Pains (ใกล้กับวงเวียน Place Dupuy) ที่ทำขนมมาส่งที่คาเฟ่นี้ทุกวัน แกบอกว่าคนที่นี่กินครัวซองต์เปล่าๆ ไม่ทาอะไรทั้งนั้น แต่ก็มีครัวซองต์ใส่ช็อกโกแลต อัลมอนด์หรือแยมส้มให้เลือกด้วย ว่าแล้วก็ชักชวนให้ไปลองซื้อกินที่ร้านแกพรุ่งนี้ เพราะวันนี้แกหยุด มิสเลยได้แต่ส่ายหน้าบอกว่าพรุ่งนี้ก็กลับแล้ว แกเลยวิ่งไปหายเข้าไปเอามาให้ชิมฟรีหนึ่งกล่อง และกำชับว่าถ้าวันนี้มีเวลาให้ไปตลาด Victor Hugo มีของอร่อยมากมายให้ซื้อไปฝากเพื่อนฝูง แถมจดชื่อร้านให้ด้วย โอ๊ย คนเมืองนี้น่ารักจริงๆ เอ้า ไปก็ไป ไหนๆ ก็มาถึงที่แล้วตลาด Victor Hugo ที่ว่านี่มันคือซูเปอร์มาเก็ตชัดๆ! สะอาด สว่าง และเป็นระเบียบน่าเดินมาก มีร้านไวน์ที่เราไปซื้อของจุ๊กจิ๊กร้านอื่นมายืนกินกับไวน์เขาได้ มีหอยนางรมสดๆ ซื้อกินตรงนั้นได้เลย ร้านชีส เนื้อแห้ง ไก่ชิ้นๆ เป็ดกงฟีหรือเป็ดตุ๋นข้ามคืนในน้ำมันของมันเองห่อแพคมาเรียบร้อย และฟัวกราส์ที่คุณดาเมียนว่าเป็นของขึ้นชื่อของที่นี่ สนนราคาไม่เว่อร์วังเลย ทำใส่ขวดโหลแบบสดๆ ไม่ใส่สารกันบูด และมีหลายแบบหลายขนาดให้เลือกด้วย
เริ่มเย็นแล้ว หาอะไรรองท้องก่อน ร้านหรูๆ ที่นี่ก็พอมีบ้าง แต่ส่วนใหญ่เป็นร้านแบบบิสโทรที่ขายเป็นจานๆ ไม่เป็นคอร์ส วัฒนธรรมการกินที่ตูลูสน่าสนใจมาก หนึ่งเพราะความที่อยู่ใกล้สเปนและอิตาลี เลยได้รับอิทธิพลด้านอาหารมาเต็มๆ มีร้านทาปาส ร้านอาหารอิตาเลียน กะบับ ร้านขนมตุรกีให้เห็นทั่วไป (แต่ไม่ค่อยมีเอเชียนะ) สองผู้คนที่นี่มีความชิลขั้นสุด นั่งกันยาวๆ คุยไปจิบไปกินไป และกินกันยาวไปจนถึงสี่ห้าทุ่มคล้ายๆ ประเทศเพื่อนบ้าน บางร้านมีช่วงอะเปอริตีโวที่เสิร์ฟเหล้าและของกินเล่นเรียกน้ำย่อยแบบอิตาเลียนด้วยตูลูสเป็นเมืองที่ดูเหมือนว่าประชากรจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเพราะคนจากต่างเมืองไม่น้อยย้ายครอบครัวมาอยู่ที่นี่ เพื่อมีโอกาสซื้อบ้านซื้อรถเป็นของตัวเองในเมืองที่ค่าครองชีพยังไม่สูงมาก ผู้คนยังยิ้มแย้มเป็นมิตรและเอื้ออาทร แถมอากาศยังดีเกือบตลอดปี และยังมีสถานศึกษาที่มีชื่อเสียงหลายแห่งสำหรับลูกหลาน (ชาวฝรั่งเศสได้เรียนฟรีด้วย) ทำให้ตูลูสเป็นเมืองที่มีนักศึกษามากมาย ซีนไนท์ไลฟ์ที่นี่ก็เลยมีความฮิปไม่น้อย มิสตามเสียงเขย่าค็อกเทลไปเจอบาร์ชื่อ Fat Cat ที่อยู่ไม่ห่างจากจตุรัสกลางเมือง แต่งร้านแบบดิบๆ มีกลิ่นอายอาร์ตเดโคจางๆ ค็อกเทลไม่แย่เลยและราคาพอๆ กะบ้านเรา ตามซอยอื่นๆ ก็มีบาร์เหมือนกันแต่ไม่ตื๊ดมาก ออกแนวนั่งดื่มและเม้ามอย น้องบาร์เทนเดอร์บอกว่าวันพฤหัสนักศึกษาจะออกมาเที่ยวกันอย่างหนักหน่วงจนเกือบสว่าง (ถามแล้วว่าทำไม ฮีอธิบายเป็นภาษาอังกฤษไม่ถูก) ส่วนศุกร์เสาร์จะเป็นผู้ใหญ่วัยทำงานแล้ว ด้วยความเหนื่อยมิสเลยไม่ได้ไปเสาะหาคลับหรืออะไรที่แรงไปกว่านั้นแต่คิดว่าน่าจะมีแน่นอน
ค็อกเทลชื่อ Mad King ใช้วิสกี้เป็นเบส ราคาประมาณ 400 บาทไทยอ้อ ประชากรที่อพยพมาส่วนหนึ่ง (ที่มีทั้งชาวฝรั่งเศสเองและชาวต่างชาติ) มาเพื่อทำงานให้กับแอร์บัส (Airbus) บริษัทผลิตเครื่องบินพาณิชย์ยักษ์ใหญ่ที่มีสำนักงานใหญ่และ final assembly line หรือส่วนประกอบเครื่องบินในขั้นตอนสุดท้ายที่นอกเมืองตูลูส ชิ้นส่วนต่างๆ ถูกแยกไปผลิตในอังกฤษ สเปน เยอรมันนีและจีนเพื่อส่งมาประกอบที่นี่ ทำให้ตูลูสมีพนักงานแอร์บัสอาศัยในเมืองเกือบเจ็ดพันคน (นี่เราเดินผ่านวิศวกรการบินไปกี่คนแล้วเนี่ย) การบินไทยก็ซื้อเครื่องบินจากแอร์บัสมาให้เรานั่งตั้งแต่ยุค 70 แล้ว เรียกว่ามีความสัมพันธ์กันมายาวนาน มีครบทุกรุ่นด้วย รวมถึงรุ่นใหม่ล่าสุด Airbus A350 XWB ย่อมาจาก extra wide body เพราะเขาบอกว่าตอนนี้ลำตัวเครื่องบินเขากว้างที่สุด นั่งสบายที่สุดแล้ว แถมมีนวัตกรรมการบินใหม่ๆ ล้ำหน้าสารพัด ใครอยากไปเยี่ยมชมโรงงานเขาก็มีทัวร์ด้วยนะ ออกนอกเมืองไปเกือบครึ่งชั่วโมง ราคาเริ่มตั้งแต่ 15 ยูโรต่อคน ดูรายละเอียดได้ที่ เว็บไซต์นี่

เตรียมใจไว้แล้วว่าขาสั้นอย่างเรา เดินสิบนาทีที่เขาว่าน่าจะลากไปถึงครึ่งชั่วโมงแน่ๆ แต่เอาเข้าจริงๆ ไม่ถึง 15 นาทีเลยก็เข้าสู่ย่านเมืองเก่าและใจกลางเมือง หรือ Capitol ตูลูสเป็นเมืองยุคกลาง (คริสต์ศตวรรษที่ 5-15 ถ้าเทียบกับบ้านเราก็กินเวลาตั้งแต่ยุคสุโขทัยและอยุธยาเลย) ที่มีถนนปูอิฐแคบๆ และคดเคี้ยว บวกกับตึกรามโบราณแบบสถาปัตยกรรมโรมันที่เป็นอิฐสีแดงอมส้มจางๆ รูปทรงทื่อๆ แต่ก็มีตึกยุคใหม่ขึ้นมาหน่อยแบบโรมาเนสก์ (ช่วงปลายยุคกลาง) ที่มีลูกเล่นและสีสันขึ้นมาอีกนิด เพิ่มความน่าค้นหาให้กับเมือง แซมกับตึกรามสมัยใหม่ยุคโมเดิร์นก็แปลกตาดีไม่น้อยเวลาน้อยขอไฮไลท์เลยแล้วกัน มิสเดินตรงดิ่งไปที่ Basilique St Sernin de Toulouse บาซิลิก้าก่ออิฐตามศิลปะแบบโรมาเนสก์ยุคศตวรรษที่ 11 ที่ได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกตั้งอยู่กลางเมือง ไม่เสียค่าเข้า แต่ถ้าไปช่วงที่มีพิธีกรรมทางศาสนาจะเข้าไม่ได้นะจ๊ะ ยกเว้นจะไปจอยกะเขาด้วย ความสำคัญของโบสถ์นี้คือเป็นที่ตั้งศพของ แชงต์ แซร์แนง นักบุญที่เมื่อครั้งยังมีชีวิตเป็นบิชอปคนแรกของเมืองตูลูส ถูกพวกนอกรีตจับไปและบังคับให้นับถือรูปเคารพอื่น แต่ท่านขัดขืนจึงถูกทรมาณด้วยการถูกมัดไว้กับวัวแล้ววิ่งไปทั่วเมืองจนท่านขาดใจตาย และวัวมาหยุดตรงที่ตั้งบาซิลิก้านี้ ถนนที่ตั้งจึงมีชื่อว่า Rue Du Taur (ถนนวัว) ไปด้วย บาซิลิก้านี้ภายในถูกบูรณะและซ่อมแซมหลายครั้ง แต่ด้านหน้า (façade) ถือว่าศิลปะยุคโรมาเนสก์ที่เก่าแก่ที่สุดในยุโรปที่ยังเหลืออยู่




พูดถึงร้านกาแฟ มาฝรั่งเศสต้องหาเวลานั่งจิบกาแฟเม้าคนริมถนนให้ได้ซักหนึ่งครั้งเพราะมันคือวิถีชีวิตของคนประเทศนี้ คาเฟ่ริมถนนจะมีอยู่แทบทุกหัวมุมถนนและจตุรัส (ซึ่งเมืองนี้มีเยอะมาก) เสิร์ฟทั้งกาแฟ ขนมหวาน ไวน์ เบียร์ ทุกร้านสูบบุหรี่ด้านนอกได้และคนที่นี่ส่วนใหญ่สูบบุหรี่ เพราะฉะนั้นใครไม่อยากโดนรมควันคงต้องหลบเข้าไปนั่งในร้าน ไม่ก็ซื้อกาแฟไปนั่งชิลในสวนเอา ได้บรรยากาศไปอีกแบบ




