เทรคกิ้งสุดแดนเนปาล ที่ Upper Mustang
กษัตริย์ วัด วัง ถ้ำ และเส้นทางยาวไกลบนภูเขาสูงของ Upper Mustang
ตัวเมืองโลมันทัง ล้อมรอบด้วยภูเขาสีน้ำตาลซีดๆ
อามี ปาล คือชื่อของกษัตริย์ผู้ก่อตั้ง"อาณาจักรโล"เป็นปึกแผ่นและควบคุมเส้นทางค้าเกลือในดินแดนมุสตังตอนบนที่เวิ้งว้างราวทะเลทรายของประเทศเนปาล ผืนดินเชื่อมต่อกับที่ราบสูงทิเบต มีเมืองหลวงชื่อโลมันทัง ตั้งอยู่สูงลิบจากระดับน้ำทะเลกว่า 3,800 เมตร ออกซิเจนต่ำแน่นอน แถมยังฝนแล้งและผืนดินไม่เหมาะแก่การเพาะปลูกใดๆ ดินแดนแห่งนี้คือที่อยู่ของชาวโลบา และมีการสืบทอดการปกครองระบบกษัตริย์ยาวนานกว่า 600 ปี
เมื่อปี 2008 รัฐบาลเนปาลประกาศล้มอำนาจกษัตริย์องค์สุดท้ายของมุสตังตอนบน นั่นคือท่านจิกมี ดอรี พัลบาร์ บิสตา ผู้สืบเชื้อสายตรงรุ่นที่ 25 ของอามีปาล กษัตริย์ชราพระองค์นี้พำนักอยู่ในวังโบราณกลางเมืองโลมันทังตลอดมา จนเสียชีวิตลงในวัย 86 เมื่อเดือนธันวาคมปี 2016 นี้เอง
กงล้อมานิ Prayer Wheels พบเห็นทั่วไปรอบๆ เมืองโลมันทัง
นอกจากกษัตริย์ เมืองหลวงโบราณและวัดทิเบตเก่าแก่ ความลับของ Upper Mustang คือถ้ำกว่าหมื่นแห่งกระจัดกระจายอยู่บนภูเขาทั่วดินแดนแถบนี้ ทั้งหมดสร้างขึ้นโดยฝีมือมนุษย์ยุคกว่าสามพันปีมาแล้ว ถ้ำเหล่านี้เป็นที่ฝังศพของบรรพบุรุษชาวทิเบต ถ้ำบางแห่งเคยใช้เป็นที่อยู่อาศัย สถานที่วิปัสสนาของลามะ หรือแม้แต่ที่ส่องศัตรูในช่วงสงคราม
Sky Caves ถ้ำโบราณพบเห็นทั่วดินแดนมุสตังเหนือ
ที่นี่ไม่ใช่ดินแดนสุขสงบสวยงามในฝันเสียทีเดียว รู้ไหมว่าดินแดนแถบนี้คือพื้นที่สงครามย่อยๆ ระหว่างจีนกับอเมริกา เพราะเมื่อจีนเข้ายึดครองทิเบตในปี 1951 มุสตังตอนบนกลายเป็นฐานที่มั่นของชาวทิเบตที่ไม่ยอมศิโรราบให้จีน มีซีไอเอมาสอนการสู้รบให้อย่างเข้มข้น กองกำลังทิเบตในมุสตังสู้รบมายาวนานกว่าสงครามจะจบลงในช่วงกลางยุค 70s
กว่าชาวต่างชาติจะรับอนุญาตอย่างเป็นทางการจากรัฐบาลเนปาลให้เดินทางเข้าออกดินแดนมุสตังนี้ได้อีกครั้งก็ในปี 1991 แต่ภายใต้เงื่อนไขว่าต้องเสียเงิน 500 เหรียญสหรัฐเป็นค่าธรรมเนียมสำหรับการเดินทาง 10 วันในเขต Upper Mustang หากอยู่เกินกำหนดต้องเสียเพิ่มอีกวันละ 50 เหรียญ มีการจำกัดจำนวนนักท่องเที่ยวแต่ก็ไม่ได้เคร่งครัดอะไรนัก ข้อดีอย่างเดียวคือทำให้แถบนี้มีคนมาเที่ยวไม่มากเท่าไหร่ ไม่มีคนแบกเป้เดินกันเป็นคณะใหญ่โตแบบที่เห็นบนเส้นทางแถบเทือกเขาอันนาปุรณะหรือ EBC
วัดทุบเชน วัดโบราณอายุกว่า 500 ปี ใจกลางเมืองโลมันทัง
เมืองโลมันทัง ตอนนี้ดูเหมือนกับหมู่บ้านใหญ่กลางหุบเขาทะเลทรายกว้างใหญ่สีน้ำตาล มีกำแพงเมืองล้อมรอบ แต่ตัวเมืองจริงๆนั้นขยายความเจริญออกนอกกำแพงไปเยอะแล้ว มีโรงแรม ร้านอาหาร และนักท่องเที่ยวที่ตื่นตาตื่นใจกับวิถึชีวิตดั้งเดิมของชาวโลบา
ใจกลางเมืองโลมันทัง ยังมีวัดโชเด Chode อายุเก่าแก่กว่า 200 ปี ในวัดแห่งนี้มีโรงเรียนสำหรับเณรน้อย ที่ไม่ได้สอนแต่พุทธศาสนา แต่สอนทั้งเลข วิทยาศาสตร์ และภาษาอังกฤษ วัดสำคัญอีกแห่งหนึ่งคือวัดทุบเชน Thubchen วัดโบราณอายุกว่า 500 ปี ผนังวัดทาสีส้มอิฐ สร้างโดย Tashi Goen กษัตริย์องค์ที่ 3 ของอาณาจักรโล ที่นี่อนุญาตให้เข้าไปชมภายในได้ แต่ห้ามถ่ายรูป ภายในเพิ่งมีการบูรณะจิตรกรรมฝาผนังครั้งใหญ่ ด้วยทุนจากมูลนิธิอเมริกันหิมาลายา
พระราชวังเก่าแก่ของโลมันทัง
ภายในกำแพงเมืองโลมันทังยังเป็นที่ตั้งของ พระราชวังโบราณ อาคารสีขาวหม่นๆ สูง 4 ชั้น ธงมนตร์ประดับบนหลังคา สูงกว่าบ้านเรือนในบริเวณโดยรอบ สร้างด้วยดินและประดับตกแต่งด้วยไม้ขนาดใหญ่ ส่วนรอบๆ มีบ้านเรือนที่ทาสีขาวขมุกขมัว
เมืองนี้มีตระกูลบิสตา เครือญาติของราชวงศ์ทำธุรกิจท่องเที่ยวและเปิดร้านขายของสำหรับนักท่องเที่ยวอยู่บ้าง ที่พักบางแห่งสามารถนัดให้นักท่องเที่ยวธรรมดาอย่างเราๆ เข้าพบเจ้าชายได้ หากบังเอิญเจ้าชายจิกมี ซิงกี พัลบาร์ บิสตา หลานวัย 60 ปีของกษัตริย์แห่งโลมันทัง อยู่ในเมืองพอดี อาจจะมีโอกาสได้เข้าวังไปดื่มชากับเจ้าชาย ในห้องสวยๆ ของพระราชวังโลมันทังเหมือนกับคณะของเรา
เจ้าชายบิสตา เชื้อสายของกษัตริย์แห่งอาณาจักรโบราณ
ครั้งนั้นเจ้าชายเล่าให้ฟังว่าเกิดและเติบโตที่โลมันทัง ส่วนลูกสองคนไปเรียนอยู่ที่อเมริกา ตัวท่านเองเรียนที่เมืองโลมันทังและกาฐมาณฑุ ในประเทศเนปาลนี่เอง ท่านบอกว่ายินดีที่มีคนรู้จักและเดินทางมาเยือนมุสตังมากขึ้น ยิ่งหากชายแดนจีนเปิด โลมันทังคงจะกลายเป็นเมืองมีศักยภาพมากขึ้น ก็เป็นธรรมดาเพราะได้ยินว่าท่านเองมีธุรกิจท่องเที่ยวอยู่ในแถบนี้เยอะพอควร คงจะได้รับผลดีกับเรื่องนี้ไม่น้อยแหละ
แม้จะไม่มีระบบกษัตริย์อีกต่อไปแล้ว เจ้าชายบอกว่าผู้คนชาวโลมันทังยังให้ความนับถือตระกูลบิสตากันอยู่ ซึ่งก็มองได้ว่า ทายาทกษัตริย์อย่างท่านก็เป็นเสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมโบราณของอาณาจักรโล อาณาจักรเก่าแก่ที่เคยของยืนหยัดในดินแดนมุสตังมายาวนานกว่า 600 ปี
Lo Kunphen พิพิธภัณฑ์ โรงเรียน และคลีนิคการแพทย์แผนทิเบตของเมืองโลมันทัง
นอกจากวัด วัง ภายในเมืองโลมันทังยังมีพิพิธภัณฑ์ชื่อว่า โลคุนเพน Lo Khunphen จัดแสดงตำราการแพทย์แบบทิเบต ที่เรียกว่า Amchi Medicine หรือ Sowa-Rigpa ตั้งขึ้นโดยพี่น้องตระกูลแพทย์ชาวโลบา และเงินทุนสนับสนุนจากแพทย์ชาวญี่ปุ่น ที่สนใจเรื่องการแพทย์พื้นบ้านเป็นพิเศษ ข้างในเต็มไปด้วยของสะสม ตำรายาและการแพทย์แผนทิเบตโบราณ ชั้นบนเป็นคลีนิคและมีโรงเรียนแพทย์โลคุนเพน มีเด็กนักเรียนอายุตั้งแต่ 6 - 20 ปี กว่าสิบคน รวมทั้งมีห้องปรุงยาสมุนไพรด้วย
พระในพุทธศาสนาแบบวัชรยาน ร่วมพิธีกรรมในเมืองโลมันทัง
ปัจจุบันจุดผ่านแดนระหว่างจีนและเนปาลที่อยู่ห่างจากนครโลมันทังไปเพียง 20 กม.ยังคงเปิดๆ ปิดๆ ขึ้นกับการเจรจาระหว่างรัฐบาล บ้างก็มีเหตุการณ์เช่น มีพระที่พยายามข้ามชายแดนพร้อมกับใบปลิวที่มีรูปองค์ดาไลลามะ ผู้นำทางศาสนาของชาวทิเบต ทำให้จุดผ่านแดนถูกปิดกะทันหัน อีกสาเหตุนึงก็เพราะค้าขายย่ำแย่ รวมทั้งการเดินทางยากลำบากเพราะสภาพถนนไม่ดี มีแค่พ่อค้าจากฝั่งเนปาลไม่กี่คนเดินทางมาซื้อผ้าขนสัตว์ บะหมี่ แกะ แพะหิมาลัย และสินค้าจำเป็นสำหรับฤดูหนาว เพื่อส่งไปขายในเมืองต่างๆในแถบนี้ ไกลออกไปลิบๆ จากพรมแดนตรงนี้คือภูเขาไกรลาศในเขตแดนจีน/ทิเบต หากเปิดจุดผ่านแดนถาวรขึ้นเมื่อไร มุสตังคงเป็นจุดหมายปลายทางของนักเดินทางจากทั่วโลกแน่นอน
ผู้หญิงชาวโลบาในเมืองโลมันทัง
ข้อมูลเดินทาง
โลมันทัง (Lo Manthang) เป็นเมืองชายแดนของเขต Upper Mustang ประเทศเนปาล สนามบินที่ใกล้ที่สุดอยู่ที่เมืองจอมสอม (Jomsom) นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ใช้เวลา 4-5 วันเพื่อเดินเท้าจากเมืองจอมสอมไปยังเมืองโลมันทัง หากรวมเวลาการเดินทางจาก กาฐมาณฑุ ไปเมืองจอมสอม ด้วยแล้ว ควรเผื่อเวลาการเที่ยว Upper Mustangไว้ราวๆ 20 วัน แต่หากมีเวลาน้อยกว่านี้ ก็ใช้พาหนะอื่นๆ ในการเดินทางได้ เช่น การเช่ารถจี๊ป หรือถ้าผจญภัยหน่อยก็ขี่ รถมอเตอร์ไซค์ หรือจักรยาน มีบริษัททัวร์หลายแห่งจัดให้ได้เช่นกัน
STORY BY Saiaway