HAPPENING BKK
NLINE MAGAZINE
×
เปิดใจ “ป๊อก ปิยธิดา” พิธีกรรายการแข่งทำอาหารใหม่ที่ทุกคนรอคอย “มาสเตอร์เชฟ ไทยแลนด์”
by ปริษา โรจนจารุกร
4 มิ.ย. 2560, 16:54
  10,201 views
มีการคาดการณ์กันมากมายจากการที่ “ป๊อก" ปิยธิดา มิตรธีรโรจน์ ไปเรียนทำอาหารเพื่อเตรียมตัวรับงานใหม่ในฐานะพิธีกร Masterchef Thailand หลายคนสงสัยว่าเธอมายืนอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร วันนี้นักแสดงมากความสามารถคนนี้มีคำตอบให้กับข้อกังขาต่าง ๆ พร้อมทั้งเผยความในใจแบบไม่หมกเม็ดแบบ exclusive มาแชร์ให้แฟน ๆ ของเธอกัน  

 
โปรเจกต์ล่าสุดที่กำลังทำตอนนี้คืออะไร
ตอนนี้ได้รับหน้าที่เป็นพิธีกรให้กับรายการ “มาสเตอร์เชฟ ไทยแลนด์” ค่ะ เป็นครั้งแรกที่รายการนี้จะได้ออกอากาศในเวอร์ชั่นไทย เพราะทางเราไปซื้อลิขสิทธิ์มา รับรองได้ว่าเหมือนกับมาตรฐานทางเมืองนอกทุกอย่าง เพราะขณะที่เราถ่ายทำกัน จะมีคนของทางรายการต้นฉบับมาคอยช่วยดูอยู่ด้วยตลอดค่ะ
เห็นป๊อกเคยเป็นพิธีกรมาก็เยอะ นับดูเกือบๆ สิบรายการได้ “มาสเตอร์เชฟ ไทยแลนด์” ต่างกันกับที่ผ่านมายังไง
ต่างกันตรงที่ รายการอื่นๆ ที่ป๊อกเคยทำ ถ้าไม่เป็นแนวพูดคุยก็จะเป็นเกมโชว์ ที่จะมีการเตี๊ยมกัน นัดแนะอะไรกันบ้าง แต่“มาสเตอร์เชฟ ไทยแลนด์” เป็นการแข่งขันที่จริงมากๆ สำหรับผู้เข้าแข่งขัน ซึ่งแต่ละคนที่มา ก็จะมีเรื่องราวของตัวเอง ซึ่งเราไม่สามารถจะไปบรีฟได้ว่า เราอยากให้เค้าออกมาในแบบไหน เค้าจะเกรี้ยวกราด โกรธ ดีใจ หรือน่าสงสาร เราจะไม่มีวันรู้เลย และกติกาของรายการคือคณะกรรมการจะแยกตัวออกไป ไม่มาคลุกคลีกับผู้เข้าแข่งขันเลย เพราะฉะนั้น เราคือตัวเชื่อมที่จะเล่าให้คณะกรรมการฟังว่า ที่เราไปคุยกับพวกเค้ามา มันเป็นยังไง บอกได้เลยว่าทุกอย่างที่คนดูเห็นเป็นเรื่องจริงเกือบทั้งหมด จริงในที่นี้คือหมายถึงการจับเวลา การทำงาน ส่วนที่ไม่จริงบ้างคือคิวการแนะนำตัวของพิธีกร แนะนำตัวผู้เข้าแข่งขัน ซึ่งมันอาจจะไปเก็บก่อนหรือทีหลังได้ แต่ว่าระหว่างที่ทำอาหาร มันเป็นเวลาจริงหมด 
 
ทำไม “มาสเตอร์เชฟ ไทยแลนด์” ถึงเลือกป๊อกเป็นพิธีกร
จริงๆ มีการหาตัวพิธีกรมากพอสมควร โจทย์ของเค้าคือไม่ว่าจะเป็นนักแสดงหรือใครก็ตามที่มีชื่อเสียงอยู่ คนนั้นๆ จะต้องดูมีคุณสมบัติน่าเชื่อถือและที่สำคัญต้องมีความรู้เกี่ยวกับอาหารดี ซึ่งเค้าก็ได้ไปหาแล้ว แต่มันไม่มีใคร แล้วจู่ๆ เค้าก็มาเห็นว่า อ้าว ป๊อกเรียนอยู่ที่เลอ กอร์ดองเบลอ ดุสิต เหรอ กำลังจะจบชั้นซูพีเรียร์ ควิซีนอยู่แล้ว ทำไมเค้าไม่เคยรู้มาก่อนล่ะ  ซึ่งป๊อกเองก็ลงรูปบ้างไม่ลงบ้างนะคะ ที่จริงตอนแรกตั้งใจว่า อยากเรียนทุกอย่างให้จบก่อน แล้วค่อยเปิดตัวว่า เราเรียนมา แล้วจะไปทำอะไรๆ แต่ตอนนี้ “มาสเตอร์เชฟ ไทยแลนด์” มาในช่วงคาบเกี่ยวที่กำลังจะจบ มันก็...ไม่รับไม่ได้นะ (หัวเราะ)รายการระดับโลกขนาดนี้  

แสดงว่าเป็นแฟนรายการนี้อยู่แล้ว
ใช่ค่ะ นี่เป็นตัวป๊อกมากๆ ที่มาเรียนเรื่องอาหาร แปลว่าเราชอบอาหารอยู่แล้ว และยังเชื่อมโยงกับอาชีพปกติของเรารักการแสดง รักการอยู่หน้ากล้อง แล้วอะไรล่ะที่จะทำให้สองสิ่งนี้มารวมกัน คำตอบคือพวกรายการทำอาหารต่างๆ ไม่ว่าจะสาธิตการทำ พาไปชิม พวกนี้ป๊อกจะชอบ
การที่อยู่สายนักแสดงมาก่อน ช่วยได้มากน้อยแค่ไหนในงานพิธีกร
ป๊อกเคยสอบใบผู้ประกาศผ่านมาแล้ว หมายความว่าเรามีมาตรฐานพอที่จะเป็นพิธีกรในรายการปกติทั่วไปอยู่แล้ว ประสบการณ์ความเป็นนักแสดงจะช่วยให้เราจัดการกับความเขินอาย ให้ความเป็นกันเอง หรือรับมือกับสถานการณ์เฉพาะหน้าต่างๆ จากผู้เข้าแข่งขันได้เยอะค่ะ
เป็นเพราะรู้อยู่แล้วว่า จะได้มาเป็นพิธีกร “มาสเตอร์เชฟ ไทยแลนด์” รึเปล่า เลยไปเตรียมตัวเรียนที่เลอ กอร์ดอง เบลอ ดุสิต
รู้ตัวสี่ปีล่วงหน้าเลยเนี่ยนะ คุณพระ!(หัวเราะลั่น) “ป๊อกว่ามันเป็นความบังเอิญที่โชคดีมากกว่านะคะ ที่มาเรียนเนี่ยเอาจริงๆ เพราะแค่อยากทำเค้กเป็น พวกเค้กชั้นๆ อยากขึ้นรูปให้ได้ พอทำเป็นก็เริ่มรู้สึกสนุกขึ้นมาเรื่อยๆ เลยเรียนต่อเนื่องมา ถ้าป๊อกรู้ตัวล่วงหน้าจริง คงต้องเป็นคนที่วางแผนได้อย่างล้ำลึกมากกกเอาจริงๆ ที่มาเรียนคือเห็นตัวอย่างจากคู่ของป๊อกคือพี่ตั๊ก (นภัสรัญชน์ มิตรธีรโรจน์) ที่เป็นคนเรียนตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นอะไรเล็กๆ น้อยๆ ถ้ามีเวลาก็จะไปเรียน พี่ตั๊กเรียนฟันดาบ ชกมวย ดนตรี เรียนโขนตอนโตแล้วด้วยซ้ำ เค้าบอกป๊อกว่าถ้าเราอยู่เฉยๆ เอาแต่ใช้ความรู้เก่าๆ อยู่บ้านไปวันๆ ทำงานไปโดยคิดว่า ชั้นใช้แต่สิ่งที่พระเจ้าประทานมาให้ก็พอแล้ว เราจะหยุดอยู่แค่ระดับหนึ่ง แต่จะไม่ได้พัฒนาตัวเอง การเรียนคือโอกาสให้เราได้พัฒนาตัวเอง ได้มีเรื่องสนุกๆ ให้เราได้ขวนขวาย ไม่ใช้ชีวิตอยู่อย่างซังกะตาย แล้วกลายเป็นเป็นว่าพอเราขวนขวาย เรากลับเจอสิ่งที่เราชอบมากๆ” 

การมาเรียนที่เลอ กอร์ดองเบลอ ดุสิต ช่วยต่อยอดกับรายการนี้ยังไงบ้าง
ถ้าเป็นพิธีกรที่ไม่มีความรู้ด้านอาหารเลย เวลาไปทำ คงได้แต่ถามผู้เข้าแข่งขันว่าวันนี้ทำอะไร อะไรอร่อย คิดว่ากรรมการจะชอบมั้ย แค่นั้น แต่พอเรามีความรู้จริงๆ พอดูปุ๊บ เราจะมองออก แล้วถามได้เลยว่า อ้าวตอนนี้ทำแบบนี้ แล้วจะต่อยังงี้ ใช่มั้ย แล้วถ้าเผื่อทำแบบนี้ มันข้ามขั้นตอนไปแบบนี้ได้เลยเหรอ ด้วยความเป็นพิธีกร มันไม่ใช่แค่ถามไปตามที่ทีมงานเซ็ทมาให้ แต่เป็นการถามด้วยความอยากรู้ของเราจริงๆ ในฐานะนักเรียนด้านอาหารคนหนึ่ง คนที่มาแข่งในรายการ ก็เหมือนเรามาแลกเปลี่ยนความรู้กัน ป๊อกว่าจริงๆ เราคือคนในสังคมเดียวกัน น่าจะคุยกันรู้เรื่องมากขึ้น
เคยมีโมเมนต์ที่อยากโดดลงไปเป็นผู้เข้าแข่งขันเองบ้างมั้ย
บ่อยไปค่ะ ยิ่งเวลาเดินเข้าไปเห็นครัว เห็นอุปกรณ์ตั้งเรียงรายนับร้อยๆ ชิ้น เห็นผู้เข้าแข่งขันจูเลี่ยนขิง (หั่นฝอย) ใช้มีดแบบนี้ เราก็มีแอบคิดว่าถ้าเป็นเรา เราจะทำได้บ้างมั้ย บางทีเราก็กับกรรมการก็คุยกันเวลาเปิดตัววัตถุดิบออกมา ว่าถ้าเป็นพี่ล่ะ ถ้าเป็นป๊อกล่ะ คิดว่าจะทำเป็นอะไร ถ้ามีพวกประชุมความเห็นจากพิธีกรกับกรรมการที่เด็ดๆ เราจะเก็บไว้ไปปล่อยกันหน้ากล้องเลย ไม่คุยกันเอง เพราะอยากให้สนุก  

 
คนตั้งตารอดูกันมาก อยากมาแข่งกันก็มาก จนได้ยินว่ามีดราม่าออกมาเยอะ จริงรึเปล่า
“เยอะมากก เอาเป็นว่ามีหนึ่งเรื่องที่ป๊อกขอพูดในฐานะหนึ่งในทีมงานที่อยู่ตรงนั้น แล้วเห็นเหตุการณ์มาตลอดก็แล้วกันนะคะ อยากจะแก้ความเข้าใจที่โดนเอาไปพูดกันมากในเนต คือในรอบที่แข่ง 120 คน เวลาถ่ายทำจริง ที่เราตั้งเป้าไว้ว่าจะถ่าย 3 วัน วันละ 40 คน ทีนี้ตามกลไกการถ่ายทำรายการ วันหนึ่งเราก็อาจจะได้จำนวนไม่ตรงตามเป้า เราจะมีการหาผู้เข้าแข่งขันสำรองมาสแตนด์บายรอไว้ สมมุติว่า 10 คนเป็น 130 เผื่อเกิดเหตุการณ์เฉพาะหน้า เช่นตัวจริงไม่มาหรือว่าถ่ายกันเร็ว คุณก็จะได้เข้าแข่งขัน แต่ปรากฏว่า พอถึงวันจริงเราถ่ายได้แค่ 36 คน ซึ่งอีก 4 คน ที่ต้องเข้ารอบยังไม่ได้ถ่าย แล้วเราต้องทบไปถ่ายต่อวันอื่น คนที่มาเป็นผู้เข้าแข่งขันสำรองก็ออกมาโวยวายว่า ทำไมต้องไล่เค้ากลับทั้งที่ยังไม่ได้ทำอาหารให้คณะกรรมการชิมเลย แต่วันนั้นทุกคนมาเตรียมตัวตั้งแต่หกโมงเช้าถึงตีสองก็ยังไม่เสร็จ ซึ่งมันเลตมากไปกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว เราก็เลยต้องหยุดการถ่ายทำลงแค่นั้นป๊อกอยากจะอธิบายว่าคือนี่มันก็เหมือนกติกาเวลาสมัครเข้าโรงเรียน หรือเข้าคิวรอขึ้นเครื่องบิน ถ้าตัวจริงไม่สละสิทธิ์ คุณก็จะอยู่อย่างนี้ ไม่ได้เลื่อนขึ้นไปเป็นตัวจริงจนกว่าจะมีเหตุที่ทำให้ได้รับเลือกเข้าไปแทน คุณบอกว่าคุณถูกตัดสิทธิ์ ซึ่งมันไม่ใช่ เพราะที่เราต้องการจริงๆ คือ 120 แต่ลำดับของคุณคือ 123 124  ซึ่งคุณอาจจะได้แข่งหรือไม่ได้ มันขึ้นอยู่กับสถานการณ์ในตอนนั้นด้วย จริงๆ แล้วอยากจะบอกว่า นี่เป็นโอกาสที่สองมากว่า อย่าน้อยใจ อย่าเสียใจค่ะ เพราะรายการนี้ไม่ได้มีปีเดียว มันยังมีปีต่อๆ ไปอีกนะคะ และที่เรียกคุณมาสแตนด์บาย คือยังหวังที่จะให้โอกาสที่สองกับคุณ แต่ถ้ามันไม่ได้ขึ้นมา ก็ต้องยอมรับในกติกาของการมาสแตนด์บายตรงนี้ด้วยอีกเรื่องนึงคือการตีโจทย์ของผู้เข้าแข่งขันในเรื่องอาหาร เราขออาหารธรรมดาที่ไม่ธรรมดา ซึ่งบางคนก็มาแบบธรรมดาเลยแล้วเราบอกว่าไม่ได้ เราขอดูอะไรที่มันแสดงความคิดสร้างสรรค์มากกว่านี้ เค้าก็บอกอ้าว ไหนบอกว่าขอธรรมดาๆ คือที่เราต้องการคือความกล้าฉีกกฎนิดๆ หน่อยๆ ให้เรารู้ว่าจานนี้คือซิกเนเจอร์ของคุณ เราไม่ได้อยากได้ใครก็ได้ที่ทำอาหารทั่วไปดาษดื่น แบบทำก๋วยเตี๋ยวแล้วต้องปรุง ยังงี้ไม่เอา เราอยากได้ที่แปลกไปกว่านั้น ซึ่งอันนี้มันก็คือโจทย์ที่คุณต้องไปตีมาว่า คุณจะทำให้มันฉีกออกไปได้ยังไงทั้งที่ยังตั้งอยู่บนรากฐานเดิม ก็เลยอยากจะขออธิบายตรงนี้นิดนึงค่ะ”
คือคนที่มานี่ ไม่มีใครเป็นคนทำอาหารมืออาชีพเลยใช่ไหม
“ไม่มีเลยค่ะ กติกาคือเราไม่เอาคนในวงการอยู่แล้ว เป็นคนธรรมดาทั่วไป ก็เลยจะมีที่มาต่างกัน ความดราม่ามันเลยจะเกิดจากการที่คนจากหลากหลายสาขาอาชีพมารวมตัวกัน แล้วเราต้องรับมือกับสิ่งที่เกิดแบบสดๆ ให้ได้ พอเราเป็นพิธีกร เราจะได้คลุกคลีและเห็นสังคมของผู้เข้าแข่งขัน ซึ่งทุกคนมีความเป็นมิตรกัน แต่ก็จะมีการหยั่งเชิงกันกลายๆ ด้วย ซึ่งมันเลยไม่ใช่แค่รายการแข่งกันทำอาหาร แต่เหมือนเป็นทั้งรายการเซอร์ไวเวอร์ ทั้งเฟียร์แฟคเตอร์ คือเป็นรายการที่ทุกคนต้องเอาตัวรอดไปให้ชนะด้วย”
มีอะไรแซ่บๆ จากคนมาแข่งบ้าง
มี! (เสียงหนักแน่น) คือเราเชี่ยวชาญทางการแสดงใช่มั้ยคะ เพราะฉะนั้นเราจะดูออกว่า ใครดราม่าจริง หรือใครแกล้งทำ ส่วนใหญ่คนที่ดราม่าจริง เค้าจะไม่พยายามแสดงอะไรออกมา แต่พอโดนกรรมการจี้ปมหนักๆ เข้า ก็จะร้องไห้ ซึ่งคนที่มีปมจริงๆ เค้าจะไม่อยากเล่า แต่พอมีอะไรกระทบ มันจะระเบิดพรั่งพรูออกมาเองแบบควบคุมไม่ได้ แต่บางคนจะมาแบบพยายามสร้างเรื่อง ก็ไม่รู้ว่าดราม่าแล้ว อาหารจะอร่อยขึ้นมั้ง (หัวเราะ) บางคนมาแบบ (ทำเสียงร้องไห้) “เสียใจอ้ะ” เดินปาดน้ำตาซ้ายทีขวาที ซึ่งเราเห็นแล้ว นี่มันแอคติ้งชัดๆ เราอยู่ตรงนี้ จะไม่รู้เชียวเหรอ บางคนเป็นคุณป้าคุณยายแข้งขาไม่ค่อยดี เดินกระย่องกระแย่ง ก็ยังอุตส่าห์มาแข่ง ทีนี้พออีกคนเห็น เอาแล้ว ไม่ได้ ชั้นต้องป่วยบ้างสิ ทำๆ อาหารไปก็ โอย (ทำเสียงเหนื่อยหอบ) ชั้นจะเป็นลม ไม่ไหว ขอยาดม คือโอเค... เข้าใจ แต่ถ้าเราไม่ได้มีตรงนั้น ก็อย่าแกล้งทำเลย อยู่เฉยๆ น่าจะดีกว่า

แค่อยากจะบอกว่า (เสียงจริงจัง) ถ้าจะมารายการมาสเตอร์เชฟ ไทยแลนด์ ดราม่าไม่ช่วย”

แอบได้ยินมาว่าคนแปลกๆ ก็เยอะ
“ก็จะมีบางคนที่เรามองแล้ว มั่นใจว่าน่าจะเพิ่งมีฐานะ แต่งตัวจัดเต็มพรีเซนต์ตัวว่าเป็นบล็อกเกอร์มาเลย เค้าก็บอกว่า อ๋อค่ะ พอดีธรรมดาอยู่บ้านทำอาหารก็แต่งตัวแบบนี้ เพราะรู้สึกว่าคนที่ทำอาหารก็ไม่จำเป็นต้องแต่งตัวแบบชุดเชฟชุดมอมๆอะไรเสมอไป พวกเราก็แบบ ไม่ใช่ค่ะคุณ คุณไม่น่าจะใช่คนทำอาหาร แต่คุณเป็นพริตตี้” (หัวเราะหึๆ)
นี่ขนาดรายการเตรียมงานกันมาได้เดือนกว่าๆ เองนะเนี่ย
ทำกันตั้งแต่เดือนเมษา ที่เรื่องเยอะเพราะคนเยอะ อีกอย่างนี่เป็นรายการที่โดนจับตาและวิพากษ์วิจารณ์ตั้งแต่ยังไม่เริ่มออกอากาศ บางคนพอเห็นทีเซอร์ ก็ตีเหมาไปว่า กรรมการหยาบคาย  ไม่อยากดูแล้ว ห่วย จะบอกว่าที่ออกอากาศไป ไม่มีคำไหนหยาบ และของเราเนี่ยหยาบคายน้อยกว่าของรายการต่างประเทศอีก ที่ดูของต่างประเทศแล้วรู้สึกว่าไม่เป็นเรื่องไม่สุภาพ เพราะว่ามันเป็นภาษาอังกฤษรึเปล่า (ยิ้ม) พอเป็นภาษาอังกฤษมันเลยดูเก๋ แต่ถ้าแปลเป็นไทยปุ๊บ มันหยาบมากเลยนะ ของไทยยังไม่มีนะคะที่แบบเขวี้ยงทิ้ง เทถังขยะ คือด้วยกรอบของความเป็นไทย เราไม่ทำอยู่แล้ว
นอกจากความบันเทิงแล้ว คนดูน่าจะได้อะไรจาก “มาสเตอร์เชฟไทยแลนด์” อีก
ป๊อกว่ามันเป็นแรงบันดาลใจ สำหรับใครบางคนที่หาตัวเองไม่เจอ หรือว่าเบื่อชีวิต อย่างน้อยเหมือนกับอาหารที่เราทำทุกวันมีคนชมบ่อยๆ ว่าอร่อย แล้วจนคิดว่า เอ๊ะอย่างน้อยถ้าเราลองมาจะเป็นยังไงนะ มันเป็นความตื่นเต้นนิดๆ หน่อยๆ ในชีวิต ที่ต่อไปอาจจะพัฒนาศักยภาพของตัวเรา ว่าเราสามารถทำอะไรได้มากกว่านั้นอีก 

  ยังมีอะไรเด็ดๆ ให้ติดตามใน Part II ตอนต่อไป ป๊อกขอเมาธ์ “หม่อมแม่ คุณชายกลางและคุณชายน้อย” แห่งบ้าน “มาสเตอร์เชฟ ไทยแลนด์” 

ABOUT THE AUTHOR
ปริษา โรจนจารุกร

ปริษา โรจนจารุกร

เป็นล่าม/นักเขียนอิสระที่รักการกินพอๆ กับการเดินทางท่องเที่ยว (ที่เน้นการตามหาร้านอร่อย) ตามที่ต่างๆ ทั้งนอกประเทศและแถวปากซอยบ้านตัวเอง

ALL POSTS