HAPPENING BKK
NLINE MAGAZINE
×
จากอาสาสมัครสู่ธนาคารเวลา เมื่อ “เวลา” กลายเป็นของขวัญที่แบ่งปันได้ ในวันที่สังคมไทยก้าวสู่ผู้สูงวัย
by HappBKK
4 ต.ค. 2568, 15:00
  222 views

เสียงหัวเราะดังแข่งกับเสียงลมกลางสวนสนุกในบ่ายวันหนึ่ง เครื่องเล่นหมุนเหวี่ยงไปพร้อมเสียงกรี๊ด แต่สิ่งที่หลายคนไม่อาจลืมคือภาพชายหนุ่มบนวีลแชร์ที่ยืนยันจะเล่น “ทุกเครื่องเล่น” ไม่เว้นสักชิ้น แม้อาสาสมัครที่ไปช่วยดูแลจะเวียนหัวจนต้องหยุดพัก แต่เขากลับหัวเราะและบอกว่า “ถ้าไม่ได้เล่นครบวันนี้ ก็ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสอีกเมื่อไหร่”

สำหรับบางคน การเล่นสวนสนุกคือเรื่องธรรมดา แต่สำหรับเขา มันคือการทวงคืนความทรงจำในวัยเด็กที่หายไปหลังจากประสบอุบัติเหตุจนเดินไม่ได้อีกต่อไป เรื่องเล่านี้มาจากกิจกรรมของ มูลนิธิกระจกเงา ที่ตระหนักว่า คนพิการในไทยยังถูกกีดกันด้วยโครงสร้างพื้นฐานและทัศนคติของสังคม การมี “อาสาสมัคร” คอยเป็นเพื่อนพาออกไปเที่ยว ท่องโลก หรือทำกิจกรรมง่าย ๆ ในชีวิตประจำวัน จึงไม่ใช่เรื่องเล็ก แต่คือการคืนสิทธิความเป็นมนุษย์ให้พวกเขา

ออกไปใช้ชีวิตเหมือนคนอื่น

สมบัติ บุญงามอนงค์ จากมูลนิธิกระจกเงา เล่าว่า เวลาไปต่างประเทศ หลายคนอาจคิดว่าคนนอกบ้านมีคนพิการเยอะ แต่จริง ๆ แล้วไม่ต่างจากไทยมากนัก สิ่งที่ต่างคือ สังคมเปิดทางให้พวกเขาได้ใช้ชีวิต จะเห็นได้ว่าบ้านเรายังมีข้อจำกัดเต็มไปหมด ตั้งแต่ฟุตบาทที่ไม่เหมาะสำหรับวีลแชร์ ไปจนถึงรถไฟฟ้าที่ต้องฟ้องร้องกันนานนับสิบปีกว่าจะมีลิฟต์

เพราะแบบนี้ การพาคนพิการออกไปสัมผัสประสบการณ์จึงกลายเป็นเรื่องใหญ่ — ไม่ว่าจะเป็นการพาไปทะเลหลังไม่ได้เห็นมานานสิบปี การพาไปดูหนังในโรงภาพยนตร์ หรือแม้แต่การจัดทริปไปท้องฟ้าจำลอง สิ่งเหล่านี้ทำให้พวกเขาได้ออกมาเผชิญโลกอีกครั้ง พร้อมยืนยันว่า “เราอยากใช้ชีวิตเหมือนคนอื่น ๆ”

แต่ทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้เลย หากไม่มีอาสาสมัครคอยเป็น Personal Assistant (PA) อยู่เคียงข้าง ทั้งพาไปหาหมอ ทำธุระ หรือแม้แต่ช่วยเหลือเรื่องพื้นฐานในชีวิตประจำวัน

พลังของอาสาสมัคร

มูลนิธิกระจกเงามีอาสาสมัครปีละกว่าหมื่นคน ตั้งแต่ช่วยคัดของบริจาคไปจนถึงการลงพื้นที่ช่วงน้ำท่วม งานเหล่านี้ไม่ใช่งานเบา ๆ แต่คือแรงสำคัญที่ทำให้องค์กรขับเคลื่อนได้จริง สมบัติยอมรับว่าหากไม่มีอาสาสมัคร มูลนิธิก็แทบไม่อาจยืนอยู่ได้

อย่างไรก็ตาม ปัญหาคือ อาสาสมัครจำนวนมากมักเข้ามาช่วยแบบ “ครั้งคราว” แล้วก็หายไป คำถามคือ จะทำอย่างไรให้พลังเหล่านี้กลายเป็นสิ่งที่ยั่งยืนและเชื่อมโยงต่อเนื่อง?

ธนาคารเวลา: เปลี่ยนการช่วยเหลือเป็นการแลกเปลี่ยน

อีกฟากหนึ่ง บอม–ชัยฤทธิ์ อิ่มเจริญ พัฒนาโครงการที่เรียกว่า “ธนาคารเวลา” ระบบที่ให้คนในชุมชนช่วยเหลือกันผ่านการแลก “ชั่วโมงของชีวิต” แทนที่จะใช้เงินเป็นตัวกลาง

เช่น ถ้าคุณใช้เวลา 1 ชั่วโมงสอนโยคะ คุณก็จะได้เครดิตเวลา 1 ชั่วโมง ซึ่งสามารถนำไปแลกบริการอื่น ๆ ได้ เช่น ขอให้เพื่อนบ้านช่วยพาไปหาหมอ กวาดถนน หรือแม้แต่ช่วยสอนดนตรี แนวคิดนี้ทำให้ทุกคนมีคุณค่าเท่าเทียมกัน เพราะเวลาของทุกคนมีค่าเท่ากัน ไม่ว่าคุณจะทำอาชีพอะไร

“มันไม่ใช่การทำบุญ แต่คือการแลกเปลี่ยนบนฐานของความเสมอภาค” บอมอธิบาย บนเวที Gathering Space ที่งาน SX2025

บอม–ชัยฤทธิ์ อิ่มเจริญ ผู้จัดการโครงการธนาคารเวลา

ความท้าทายของการสร้างความร่วมมือ

แต่การทำงานของธนาคารเวลาไม่ง่ายเสมอไป หลายครั้งคนในชุมชนไม่เข้าร่วมประชุม หรือไม่อยากขอใช้สิทธิ์ เพราะกลัวถูกมองว่ามาใช้ทรัพยากรส่วนกลางมากเกินไป บางคนสะสมเครดิตเวลา แต่เลือกที่จะไม่แลก เพราะสิ่งที่เขาต้องการจริง ๆ คือเพียงแค่การใช้เวลากับเพื่อน ๆ เท่านั้น 

จากประสบการณ์ที่ผ่านมาบอมพบว่าโมเดลของธนาคารมีความสำเร็จเห็นชัดในชุมชนต่างจังหวัด ตัวอย่างเช่นในอำเภอสารภี จังหวักเชียงใหม่ แต่ในสังคมเมืองกลุ่มผู้อยู่อาศัยในคอนโดมีเนียมน่าจะใช้ธนาคารเวลาได้ดี โดยเฉพาะการแลกเปลี่ยนในความเชี่ยวชาญในเมือง “ชุมชนที่เหมาะกับธนาคารเวลาคือชุมชนขนาดเล็กและจำกัดพื้นที่ มีผู้นำที่เข้มแข็ง และคนมีการส่วนร่วมสูง” บอมกล่าว

ความท้าทายที่แท้จริงของธนาคารเวลา จึงไม่ใช่แค่การออกแบบระบบ แต่คือการสร้าง ความเชื่อมั่น ว่าทุกชั่วโมงที่ฝากไว้จะมีคนตอบแทนกลับมาแน่นอน

เมื่อสองโลกมาบรรจบกัน

ถ้าเรามองให้เชื่อมโยง จะเห็นว่า มูลนิธิกระจกเงา และ ธนาคารเวลา จริง ๆ แล้วสามารถเสริมกันได้อย่างดี อาสาสมัครที่มาช่วยพาคนพิการออกไปใช้ชีวิต อาจไม่เพียงแต่ได้ความสุขใจ แต่ยัง “ฝากเวลา” ลงในธนาคารไว้ใช้ในอนาคต ในขณะเดียวกัน คนพิการเองก็สามารถฝากเวลาได้เช่นกัน ผ่านทักษะที่พวกเขามี เช่น งานฝีมือ ดนตรี หรือการให้คำแนะนำ

เมื่อเป็นแบบนี้ ความช่วยเหลือจะไม่ใช่การให้จาก “ผู้มี” ไปสู่ “ผู้ขาด” แต่กลายเป็นการแลกเปลี่ยนที่ทุกคนมีค่าเท่ากัน

 

เวลาคือของขวัญ

เรื่องราวจากสมบัติและบอม ทำให้เราเห็นว่า การช่วยเหลือกันไม่จำเป็นต้องหยุดอยู่แค่ “การกุศล” หรือ “การทำบุญ” แต่สามารถพัฒนาไปสู่ระบบที่ทุกคนรู้สึกมีส่วนร่วมและได้รับสิ่งตอบแทนกลับคืน

เพราะสุดท้ายแล้ว “เวลา” คือของขวัญที่เรามีเหมือนกันทุกคน ไม่ว่าจะเป็นคนพิการ คนทำงาน หรือใครก็ตาม และเมื่อเราเลือกแบ่งเวลาให้กัน เราก็กำลังสร้างสังคมที่เชื่อมโยงด้วยความไว้ใจและความเท่าเทียม

ABOUT THE AUTHOR
HappBKK

HappBKK

Live Every Day

ALL POSTS