ไม่ต้องกินหวาน ก็เป็นเบาหวานได้
ความเข้าใจผิดข้อใหญ่ที่หลายคนคิด คือ “กินหวานมากจะเป็นเบาหวาน” แต่สิ่งที่เข้าใจถูกคือ ถ้าเป็นเบาหวานแล้ว ปล่อยจอยไปเรื่อยๆ ไม่ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้ดี เป็นแผลเล็กๆ ที่เท้า ก็อาจลุกลามถึงต้องตัดขา และเสียชีวิตได้
ทำไมกินหวานไม่ได้เป็นเหตุให้เกิดเบาหวาน?
จริงๆ แล้ว น้ำตาลหรือความหวาน หมายถึงพลังงานที่ร่างกายได้รับ ถ้ามากเกินไปจะเกิดภาวะน้ำหนักเกินหรืออ้วน และความอ้วนนี่ต่างหากที่ทำให้ร่างกายดื้อต่ออินซูลิน เพราะไขมันส่วนเกินจะถูกย่อยและกลายเป็นกรดไขมันและน้ำตาลเข้าสู่กระแสเลือด ซึ่งถ้ามีมากตลอดเวลา ตับอ่อนที่มีหน้าที่ผลิตอินซูลินสำหรับดูดซึมน้ำตาลในเลือดออกไป ถึงกับต้องยอมแพ้สู้ไม่ไหว จึงเกิดภาวะดื้ออินซูลิน และโรคเบาหวานในที่สุด
นั่นหมายถึงว่า ต่อให้ไม่ได้กินหวานมาก หวานจัดตลอดเวลา แต่รักการกินกล้วยทอด เฟรนช์ฟราย หนังไก่ทอดกรอบกร้วม มันฉ่ำไหลเยิ้มระเบิดในปากเป็นประจำ ก็ทำให้ร่ายกายได้รับแคลอรี่สูง ซึ่งทำให้อ้วน และมีโอกาสเป็นเบาหวานได้ไม่ต่างกัน

นายแพทย์ชัยชาญ ดีโรจนวงศ์ นายกสมาคมต่อมไร้ท่อแห่งประเทศไทย และประธานวิชาการ สมาคมโรคเบาหวานแห่งประเทศไทยฯ อธิบายว่า ความเสี่ยงสำคัญ 4 ข้อที่เพิ่มโอกาสในการเป็นเบาหวาน คือ ความอ้วน อายุโดยเฉพาะเมื่ออายุเกิน 35 ปีขึ้นไป พันธุกรรม และไลฟ์สไตล์ไม่ว่าจะเรื่องอาหารการกิน การออกกำลังกาย การพักผ่อน ความเครียด
จากความเสี่ยงทั้ง 4 ข้อนี้ จะเห็นได้ว่าข้อที่เกี่ยวข้องกับอาหารและโภชนาการมีถึง 2 ข้อ การลดความเสี่ยงของโรคเบาหวานที่ดีจึงต้องเริ่มต้นจากอาหาร
“อาจจะพูดได้ว่า 80% ของความเสี่ยงที่จะเป็นเบาหวานนั้น มาจากอาหารที่เรารับประทาน ซึ่งสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 หรือผู้ที่มีภาวะดื้ออินซูลิน จริงๆ แล้วสามารถหายได้ ฟื้นฟูได้ ถ้าดูแลเรื่องโภชนาการอย่างเหมาะสม ขอให้เราเน้นที่ปริมาณแคลอรี่ที่ได้รับ ไม่ใช่ปริมาณคาร์โบไฮเดรตที่เรากิน” นายแพทย์ชัยชาญ กล่าว

ดร.โฮเซ โรดอลโฟ จูเนียร์ ผู้อำนวยการฝ่ายโภชนาการการแพทย์ ประจำภูมิภาคแปซิฟิกเอเชียของแอ๊บบอต ซึ่งได้เข้าร่วมประชุม World Diabetes Congress ที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ บอกว่า ตัวเลขล่าสุดจากสหพันธ์เบาหวานนานาชาติ (International Diabetes Federation หรือ IDF) พบว่า 60% ของผู้ป่วยเบาหวานทั่วโลกอาศัยอยู่ในเอเชีย
“หนึ่งในสาเหตุที่ผู้ป่วยเบาหวานส่วนมากอยู่ในเอเชีย เพราะวัฒนธรรมการกินอยู่ของคนเอเชีย ซึ่งมักรับประทานอาหารที่ประกอบด้วยคาร์โบไฮเดรตคุณภาพต่ำในปริมาณสูง ทำให้การควบคุมน้ำตาลในเลือดไม่ดีนัก นอกจากนี้ การที่เมืองขยายตัว คนใช้ชีวิตเร่งรีบ ไม่มีเวลาดูแลโภชนาการ ขาดการออกกำลังกายอย่างเหมาะสม นอนไม่พอ ปัจจัยเหล่านี้ยิ่งทำให้มีโอกาสเป็นเบาหวานมากขึ้น” ดร.โฮเซ อธิบาย
แม้ว่าภาครัฐและเอกชนจะได้ร่วมมือกันรณรงค์ให้ความรู้เกี่ยวกับโรคเบาหวานแล้ว แต่จำนวนผู้ป่วยใหม่ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สถิติของสหพันธ์เบาหวานนานาชาติ ระบุว่า สำหรับในประเทศไทยมีคนไทยในวัยผู้ใหญ่ประมาณ 6.5 ล้านคนที่ป่วยเป็นโรคเบาหวาน หรือคิดเป็น11.6% ของประชากรทั้งหมด ในแต่ละปี จะพบว่ามีผู้ป่วยรายใหม่ได้รับการวินิจฉัยโรคเพิ่มขึ้นถึง300,000 คน แนวโน้มนี้ยังไปต่อได้อีก หากไม่สามารถลดโรคอ้วนได้
ดร.โฮเซ กล่าวว่า หัวใจสำคัญของการป้องกัน ลดความเสี่ยง และดูแลผู้เป็นโรคเบาหวานให้เข้าสู่ระยะสงบ (Diabetes Remission Guidelines) ต้องเริ่มต้นจากการดูแลโภชนาการ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต และที่สำคัญที่สุดคือผู้ที่เป็นโรคเบาหวานต้องมีความมุ่งมั่นที่จะเปลี่ยนอย่างจริงจัง
การดูแลโภชนการอาจเป็นเรื่องยากหรือมีข้อจำกัดมากสำหรับหลายคนที่มีไลฟ์สไตล์ที่เร่งรีบ นวัตกรรมด้านโภชนาการที่จะช่วยบรรเทาปัญหานี้ได้คือ อาหารทดแทนสูตรครบถ้วนสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน (Diabetes-Specific Formula หรือ DSF) ซึ่งจากการศึกษาทางคลินิกถึง 64 โครงการของแอ๊บบอต ครอบคลุมกลุ่มตัวอย่างกว่า 6,000 คน ใน 19 ประเทศ พบว่า หลังจากให้ผู้ป่วยรับประทานอาหารทดแทนสูตรครบถ้วนสำหรับผู้ป่วยเบาหวานต่อเนื่องประมาณ 3 เดือน ผู้ป่วยสามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพ และยังช่วยควบคุมน้ำหนักตลอดจนลดไขมันในร่างกายได้ถึง 2 เท่า
แม้ว่าจะมีการให้ความรู้อย่างต่อเนื่อง แต่ปัญหาใหญ่คือผู้ป่วยจำนวนมากไม่สามารถปรับเปลี่ยนโภชนาการของตนเองได้ เพราะการรับประทานให้อร่อย คือความสุขพื้นฐานของมนุษย์
นายแพทย์ชัยชาญ กล่าวสรุปว่า “บางทีเราก็ต้องให้ผู้ป่วยเขาคุยกันเอง เรียนรู้จากประสบการณ์ของคนอื่น ให้เขาเห็นว่าเมื่อเป็นแล้ว โรคนี้มีผลรุนแรงได้แค่ไหน คนที่เห็นหน้ากันบ่อยๆ ตอนมาหาหมอ จากที่เคยเดินได้กลับต้องนั่งรถเข็น ให้เขาเรียนรู้ว่าไม่มีอะไรที่จะดีไปกว่าการดูแลตัวเองแต่เนิ่นๆ เพราะเบาหวานจะไม่มีสัญญาณเตือนที่ชัดเจนในระยะแรก กว่าจะเห็นอาการก็เมื่อโรครุนแรงมากแล้ว ดังนั้น ต้องดูแลตัวเอง อย่าให้เป็นเบาหวานดีที่สุด”