ดักจับคาร์บอนจากสาหร่ายขนาดเล็กใกล้เป็นจริง เมื่อ BLCP Power จับมือสตาร์ทอัพญี่ปุ่น Algal Bio สร้างต้นแบบในไทยและอาเซียน
การพัฒนาเทคโนโลยีดักจับคาร์บอน หรือที่เราเรียกกันว่า CCS :Carbon Capture Storage ถือเป็นความหวังของประเทศที่จะทำให้ไปถึงเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon neutrality) และหนึ่งในแนวทางที่มีศักยภาพและกำลังได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นอย่างมากก็คือ การใช้สาหร่ายขนาดเล็ก (Microalgae) ในการดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ แต่ยังมีความท้าทายหลายด้าน และอยู่ในขั้นการวิจัยเชิงวิชาการ จนกระทั่ง บริษัท บีแอลซีพี เพาเวอร์ จำกัด (BLCP Power) ได้เซ็นสัญญาทำวิจัยร่วมกับ บริษัท Algal Bio จากญี่ปุ่น ซึ่งเป็นหมุดหมายสำคัญที่มีความเป็นไปได้ในการก้าวไปสู่ขั้นตอนของการพัฒนาเชิงพาณิชย์
บีแอลซีพี เพาเวอร์ ผู้ผลิตไฟฟ้าอิสระรายใหญ่ (Independent Power Producer IPP) ได้เซ็นสัญญากับ บริษัท Algal Bio ภายในงาน Thailand-Japan Sustainable Business Forum 2025 ซึ่งจัดโดย องค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น หรือ เจโทร (Japan External Trade Organization: Jetro Bangkok) เมื่อวันที่ 4 มีนาคมที่ผ่านมา ในโครงการวิจัยร่วมเพื่อนำเสนอเทคโนโลยีการดักจับคาร์บอนจากสาหร่ายขนาดเล็ก (A joint research agreement for the demonstration of CO2 fixation technology by microalgae) เป็นระยะเวลา 3 ปี

ยุทธนา เจริญวงศ์ กรรมการผู้จัดการ บีแอลซีพี เพาเวอร์ เล่าว่า ก่อนหน้านี้ บีแอลซีพี เพาเวอร์ ได้ร่วมมือกับ สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) ซึ่งมีศูนย์ความเป็นเลิศด้านสาหร่าย แต่เป็นงานเชิงวิชาการ เราต้องการพาร์ทเนอร์ที่มีประสบการณ์เกี่ยวกับโรงไฟ้ฟ้า และได้มีโอกาสพบกับ Algal Bio ผ่านกิจกรรม Business Networking ของ เจโทร หลังจากนั้นก็ใช้เวลาพูดคุยเจรจาประมาณหนึ่งปีก่อนบรรลุข้อตกลงร่วมกัน ซึ่ง Algal Bio เป็นสตาร์ทอัพญี่ปุ่นที่มีประสบการณ์ทำวิจัยเชิงวิทยาศาสตร์เรื่องสาหร่ายขนาดเล็กในมหาวิทยาลัยโตเกียวมากว่า 20 ปี อีกทั้งยังมีความร่วมมือกับโรงไฟฟ้าในญี่ปุ่น ทำวิจัยและทดลองการดักจับคาร์บอนจากสาหร่ายขนาดเล็กมาแล้ว
นอกจากนี้ กระทรวงเศรษฐกิจ การค้า และอุตสาหกรรม (Ministry of Economy, Trade and Industry: METI) ของญี่ปุ่น ยังได้สนับสนุนทุนสำหรับโครงการนี้ ในขั้นตอน demonstration scale หนึ่งปีแรก เพื่อจะทำให้เห็นถึงประสิทธิภาพในการดักจับคาร์บอนจากสาหร่ายขนาดเล็ก
"เราตั้งเป้าหมายว่า จะต้องทำออกมาให้ได้ในปีนี้ ซึ่งหากผลการทดลองปีแรกประสบความสำเร็จ ก็จะเกิดเป็นมูลค่า จากนั้นผมก็จะเริ่มสร้างต้นแบบในปีที่สอง โดยตั้งใจจะนำไปให้ชุมชนทดลองเพาะเลี้ยงสาหร่ายชนิดนี้ ซึ่งจะกลายเป็นวิถีใหม่ในอนาคต นอกจากการทำประมง ท่องเที่ยว เกษตร และอุตสาหกรรมในปัจจุบัน"
ทางด้าน Algal Bio บอกว่า โครงการนี้ไม่เพียงแต่มุ่งเน้นการพัฒนาเทคโนโลยีดักจับคาร์บอนจากสาหร่ายขนาดเล็กเท่านั้น แต่จะพัฒนาการใช้งานในเชิงพาณิชย์สำหรับการผลิตไบโอแก๊สด้วย โดยบีแอลซีพี เพาเวอร์ และ Algal Bio จะร่วมกันศึกษาความเป็นไปได้ เพื่อจะประเมินโอกาสทางการตลาด และนำเสนอการประยุกต์ใช้ผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่น อาหารเสริม เครื่องสำอาง อาหารสัตว์ ปุ๋ย และผลิตภัณฑ์ชีวภาพ ซึ่งการเปลี่ยนผ่านการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในอุตสาหกรรมไปสู่ผลิตภัณฑ์มูลค่าสูงผ่านโครงการวิจัยร่วมนี้ นับเป็นการแสวงหาการริเริ่มใหม่ๆ ในการสร้างโมเดลที่ขยายตัวได้ เพื่ออุตสาหกรรมพึ่งพาซึ่งกันและกันอย่างยั่งยืน (Sustainable industrial symbiosis)
ทั้งนี้ Algal Bio และ บีแอลซีพี เพาเวอร์ มุ่งหวังจะทำให้เกิดเป็นโมเดลสำหรับการดักจับคาร์บอนจากสาหร่ายขนาดเล็กทั้งในประเทศไทย และทั่วทั้งภูมิภาคอาเซียน และกลายเป็นเทคโนโลยีที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง เพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านไปสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน
นับตั้งแต่ก่อตั้งในปี 2018 Algal Bio กำลังสร้างแพลตฟอร์มการวิจัยและพัฒนาโซลูชั่นจากการใช้ประโยชน์ของสาหร่ายขนาดเล็กที่ล้ำสมัยที่สุดในโลก โดยมีฐานข้อมูลสาหร่าย 1,260 สายพันธุ์ จาก 100 ชนิด มีความร่วมมือกับหลายบริษัทในญี่ปุ่น และกำลังขยายความร่วมไปยังประเทศต่างๆ ซึ่งปีนี้ Algal Bio มาถึงขั้นการทดสอบความเป็นไปได้ในเชิงพาณิชย์แล้ว (Commercial Viability Test)
ในประเทศไทย นอกจากศูนย์ความเป็นเลิศด้านสาหร่ายในสังกัดของ วว. แล้ว ล่าสุด มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) ได้เปิดโครงการวิจัย "การพัฒนานวัตกรรมสายพันธุ์สาหร่ายขนาดเล็กด้วยชีววิทยาสังเคราะห์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดักจับคาร์บอนไดออกไซด์ และนำไปใช้ผลิตสารมูลค่าสูง รวมถึงแนวทางการประยุกต์ใช้ในอุตสาหกรรมเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทย” เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา

เจโทรเปิดกลไกหนุนเศรษฐกิจสีเขียว
ในการจัดกิจกรรม Thailand-Japan Sustainable Business Forum 2025 เจโทร กรุงเทพฯ ยังได้ร่วมมือกับ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ บีโอไอ จัดตั้ง Sustainable Business Desk ขึ้น เพื่อเป็นอีกแนวทางความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนของไทยกับญี่ปุ่น ในการสนับสนุนการปรับตัวสู่เศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) รวมถึงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกด้วยนวัตกรรม เทคโนโลยี และการลงทุนที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
นฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการบีโอไอ บอกว่า บีโอไอได้ปรับปรุงสิทธิประโยชน์การลงทุนอย่างต่อเนื่องเพื่อให้สอดคล้องกับเทรนด์ใหม่ๆ เช่น การส่งเสริมการลงทุนพลังงานหมุนเวียน ตั้งแต่พลังงานแสงอาทิตย์ ไบโอแมส ไบโอแก๊ส และพลังงานจากขยะ เมื่อเร็วๆ นี้ บีโอไอได้ออกประกาศสิทธิประโยชน์สำหรับการลงทุนผลิตน้ำมันเครื่องบินที่ยั่งยืน เพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมการบินในการเปลี่ยนผ่านไปสู่พลังงานที่สะอาดกว่า
"ผมขอย้ำว่า ความยั่งยืนไม่ใช่ตัวเลือก แต่เป็นการเข้าถึงความสำเร็จทางธุรกิจในระยะยาว"
ปี 2567 บีโอไอได้อนุมัติการลงทุนในกลุ่ม BCG (Bio-Circular-Green) รวม 939 โครงการ คิดเป็นมูลค่าเงินลงทุนรวมกว่า 230,000 ล้านบาท ซึ่ง BCG เป็นหนึ่งใน 5 ศูนย์กลางอุตสาหกรรมหลักที่จะเป็นตัวขับเคลื่อนการลงทุนในปีนี้ และเป็นฐานอุตสาหกรรมแห่งอนาคต
สำหรับการลงทุนโดยตรงจากต่างชาติ ปี 2567 ญี่ปุ่นรั้งอันดับ 5 โดยได้รับอนุมัติการส่งเสริมการลงทุน 271 โครงการ เป็นมูลค่ารวม 48,148 ล้านบาท
ขณะที่ ดร.ชลจิต วรวังโส วีรกุล ผู้ช่วยเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรืออีอีซี บอกว่า ปี 2561-2567 นักลงทุนญี่ปุ่นมีสัดส่วน 12% ของมูลค่าการลงทุนทั้งหมดในพื้นที่อีอีซี โดยเฉพาะอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน ปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์