ภารกิจพิชิตภูเขาไฟมารุม รอชมทะเลสาบลาวาแดงเดือด
เดินเท้าฝ่าป่ารกชัฎและปีนป่ายร่วม 7 ชั่วโมง เพื่อคว้ารางวัลปลายทางเป็นทะเลลาวา
ภูเขาไฟมารุม (Marum) เป็นภูเขาไฟที่ยังไม่หลับไหล ตั้งตระหง่านด้วยความสูงกว่า 4,377 ฟุตอยู่ทางตอนเหนือของเกาะแอมบริม ประเทศวานูอาตู ประเทศหมู่เกาะเล็ก ๆ ในมหาสมุทรแปซิฟิกที่คั่นกลางระหว่างออสเตรเลียกับฮาวาย
ภูเขาไฟลูกนี้ระเบิดอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นระเบิดแบบเล็กจิ๋วบ้าง และใหญ่บิ๊กบึ้มจนถึงขั้นอพยพคนออกจากพื้นที่เกาะบ้าง และการระเบิดครั้งล่าสุดนั้นเพิ่งเกิดเมื่อปี ค.ศ. 2009 นี่เอง
รางวัลอันยิ่งใหญ่สำหรับคนกล้าที่จะเดินฝ่าป่าดงดิบขึ้นไปสู่ยอดภูเขาไฟลูกนี้ได้สำเร็จก็คือทะเลสาบลาวา (Lava Lake) สีแสดแดงขนาดใหญ่ที่ยังเดือดคลั่กอย่างบ้าคลั่งอยู่ภายในปล่องลึกที่ทิ้งตัวแบบดิ่งชันลงไปกว่า 400 เมตร

และหากคุณผู้อ่าน Happening BKK ทุก ๆ คนมีโอกาสได้เห็นภาพทะเลสาลาวาแห่งนี้ที่ถ่ายโดยโอลิวิเย่ร์ กรืนเนอฟวาลด์ (Olivier Grunewald) ช่างภาพชาวฝรั่งเศสผู้พิสมัยการบันทึกภาพปรากฏการณ์ธรรมชาติแบบสุดโต่งเช่นเดียวกับผมแล้วละก็ ผมเชื่อว่าทุก ๆ ท่านก็จะอยากไปที่นี่เช่นกัน
การจะไปพิชิตภูเขาไฟมารุมนั้น ต้องเดินอย่างเดียวครับ และจากที่พักที่ผมอยู่ คือ Ranon Beach Bungalow นั้น ผมผมต้องเดินประมาณ 40 กิโลเมตร... ใช่ครับ เดินขึ้นและลงเขาเป็นระยะทาง 40 กิโลเมตรในวันเดียว !!!
เมื่อวันสำคัญมาถึง “เอมม่า” เจ้าของรานอน บีช บังกะโล มาปลุกผมแต่ตี 5 และหากคุณผู้อ่านจะยังพอจำกันได้จากเรื่องราวของผมที่ถ่ายทอดให้อ่านกันในตอนก่อน ๆ ก็คงจะพอนึกออกว่าเอมม่าให้ผมเรียกเธอว่า “มาม่า” หรือคุณแม่ตั้งแต่ผมมาถึงวันแรก เพราะเธอเมตตารับหนุ่มตี๋คนนี้ให้มาเป็นลูก
“ในเป้มีน้ำกับอาหารแล้วหรือยัง?” มาม่าถาม
“ผมเตรียมไว้แล้วครับ” ผมตอบโดยไม่กล้าเปิดให้มาม่าดูว่าในเป้ผมมีน้ำเปล่าขวดลิตร 2 ขวด...ซึ่งหนักมาก ๆ และผมก็มีคุ้กกี้โอริโอ (ดับเบิ้ลครีม) อีก 3 ห่อนอนสงบอยู่ภายในนั้น ...แต่ของคาวนี่ไม่มีเลยนะฮะ
“ไปกับมาม่า....ตามมาเลย” มามาพูดสั้น ๆ ง่าย ๆ แล้วออกเดินนำ
เช้าวันนั้น มาม่าตัดสินใจพาลูกตี๋เดินออกจากหมู่บ้านรานอนเพื่อไปส่งที่หมู่บ้านรานเวทเลม (Ranvetlem) ด้วยตัวเอง เพราะมามาต้องการจะไปคัดเลือกคนนำทางเพื่อพาผมขึ้นภูเขาไฟด้วยตัวเอง

จากรานอนถึงรานเวทเลม เราใช้เวลา “จ้ำ” อยู่ถึง 1 ชั่วโมงเต็มโดยไม่หยุดเลย อากาศเกาะเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาแดดอ่อน ๆ ตอนเช้ากลับกลายเป็น ทั้งฝน ทั้งลม ผมเปียกไปหมดทั้งตัวตั้งแต่ยังไม่เริ่มปีนเขา
เมื่อเข้าไปในหมู่บ้าน มาม่าเดินไปถามหา “เอดมอนด์” (Edmond) และเขาคือคนที่มาม่าหมายตาจะให้เป็นคนนำทางพาผมพิชิตภูเขาไฟมารุมในวันนี้
“เอดมอนด์.... นี่โอ๊ค... มาจากเมืองไทย พาไปมารุมด้วยนะ” มามาบอก
“โอ๊ค... มาม่าส่งยูแค่นี้นะ วันนี้ไปให้ถึงยอดเขาแล้วลงมาเลย จะเดินเร็วหรือช้า จะกลับค่ำหรือดึกดื่นแค่ไหน มามาก็จะรออยู่ที่รานอน บีช บังกาโล” มามาบอก ผมแอบซึ้งจนประโยคต่อไปที่มาม่าพูดว่า
“....เอดมอนด์จะมาส่งยูที่หมู่บ้านรานเวทเลมนี้เท่านั้นนะ จากนั้นยูต้องเดินกลับไปรานอนเอง... จำทางได้นะ”
กรี๊ดดดดด... มาม่าครับ มาม่าเพิ่งมาบอกอะไรผมตอนนี้ครับ ตอนที่เดินจากรานอนมารานเวทเลมนี่ผมไม่ได้จำเชี่ยไรเลยครับ ฮือ...ฮือ.... ผมแอบกรีดร้องอยู่ในใจ
“โชคดี แล้วค่ำเจอกัน” มาม่าให้พร
คราวนี้ก็เหลือแต่ผมกับเอดมอนด์ที่จะเดินต่อไปกัน 2 คนอีกนับสามสี่สิบกิโลเมตรเพื่อพิชิตภูเขาไฟมารุมในวันนี้
ผมก้มลงผูกเชือกรองเท้าให้แน่นอีกครั้ง มันเป็นรองเท้ารุ่นพิเศษที่จะช่วยทั้งกันทั้งน้ำ และความชื้นได้เป็นอย่างดี ผมไม่ลืมที่เอาปลายกางเกงซ่อนให้มิดชิดเพราะผมกลัวทากมาก ๆ ทากเป็นสัตว์ที่น่าอี๋แหวะสำหรับผม กางเกงขายาวผ้าหนาแต่พร้อมระบายเหงื่อ และเสื้อแขนยาวพร้อมแล้วที่จะช่วยป้องกันผมจากพืชพรรณอันตรายที่อาจมีกิ่งก้านหนามแหลมคมที่พร้อมจะบาดทะลุเนื้อ่อน ๆ ของผม
.... เอาล่ะ ตืนๆ ตื่น ๆ ตื่น ๆ ตื่นได้แล้ว...
ทั้งหมดที่กล่าวมาด้านบนคือความฝันนะครับ ความจริงคือผมไม่ได้เตรียมชุดและอุปกรณ์เดินป่าปีนเขาใด ๆ มาเลย สิ่งที่ผมใส่วันนี้คือเสื้อยืดผ้าบาง ๆ ที่ซับและระบายเหงื่อได้ดี กางเกงขาสั้นที่และรองเท้าจ๊อกกิ้งคู่โปรดเท่านั้น
ผลที่ได้ก็คือผมเผชิญทั้งทากดูดเลือด หญ้าและกิ่งไม้คม ๆ ที่บาดผมไปตามแขนขา รวมทั้งเท้าที่หนาวและชื้นแฉะตลอดเวลา
ทางเดินขึ้นภูเขาไฟมารุมแบ่งเป็น 3 ช่วงนะครับ แต่ละช่วงมีความทรมานบันเทิงแตกต่างกันดังนี้
ช่วงแรก เมื่อเราเดินออกจากหมู่บ้านรานเวทเลม เราจะเริ่มเดินลาดขึ้นเนินผ่านป่าโปร่งไปเรื่อย ๆ จากนั้นก็จะกลายเป็นป่าที่รกชัฏขึ้นเรื่อย ๆ ปริมาณความทึบของป่าจะเพิ่มขึ้นตามองศาความชันของเขา ตลอดช่วง 2 ชั่วโมงแรกนี้มีแต่ขึ้น ขึ้น ขึ้น ขึ้น และขึ้น เท่านั้น.....อย่างแฮ่ก
ช่วงที่สอง เป็นช่วงที่เหมือนกับว่าฟ้าประทานมาให้เป็นของขวัญแด่ผู้หวังพิชิตภูเขาไฟมารุม เพราะจะเป็นทางเดินแบบราบเรียบที่ปูไปด้วยเถ้าถ่านและทรายภูเขาไปสีดำสนิทนุ่มละมุนอยู่ใต้เท้าเรา ตลอดข้างทางเราจะมองดอกไม้สีชมพูสวยดูคล้าย ๆ ดอกกระเจียวเบ่งบานรอต้อนรับเราอยู่เป็นช่วง ๆ และเราจะใช้เวลาเดินช่วงนี้ไปอีกประมาณ 1 ชั่วโมง

แต่อากาศช่วงนี้จะมีความ “เหวี่ยง” อยู่มากทีเดียวนะครับ คือมีฝนตกหนัก (มาก) สลับเบาอยู่ตลอดเวลา แล้วบางทีจะมีหมองลงมาและเป็นหมอกที่หนามาก ๆ คือหนาในระดับที่มีทัศนวิสัยมองไกลได้แค่ไม่ถึงเมตร เอดมอนด์ต้องบอกให้ผมหยุดเดินและนั่งลงรอให้หมอกจางอยู่เป็นช่วง ๆ แล้วบางทีแค่หลับตาไปวืบเดียว ลืมตามา อ้าว...หมอกก็หายไปเสียเฉย ๆ
แต่ที่ตื่นเต้นคือ เราจะเห็นเปลวควันที่พุ่งขึ้นจากภูเขาไฟมารุมปลิวเอื่อย ๆ อยู่เหนือหัวเรา พร้อมกับเสียงคำรามอยู่เบา ๆ โอย...ตื่นเต้น ตื่นเต้น ตื่นเต้น
ช่วงสุดท้าย เป็นช่วงที่เราเข้าใกล้ปล่องภูเขาไฟมารุมเต็มที ช่วงนี้จะใช้เวลาอีกประมาณ 1ชั่วโมงและเป็นช่วงที่ผมว่ายากที่สุด เพราะเราจะต้องเริ่มปีนเริ่มป่ายกันอีกครั้ง แต่เราจะต้องปีนไปบนหินลาวาที่มีความคมผสมเปราะ แล้วฝนที่ตก ๆ หยุด ๆ เช่นนี้ช่วยสร้างความ “ลื่น” เป็นการยกระดับความยากให้ขึ้นไปอีกหลายเท่าตัว ดังนั้นช่วงนี้ผมจึงค่อย ๆ ไปทีละก้าว ทีละก้าวอย่างช้ามาก ๆ
ผมคิดไม่ออกเลยว่าถ้าผมดันมาสะดุดล้มข้อเท้าพลิกอยู่บนนี้ ผมจะคลานลงไปเบื้องล่างอย่างไร ตลอดเส้นทางจากหมู่บ้านรานเวทเลมขึ้นมาถึงบนนี้ผมไม่เห็นคนอื่นอีกเลย นอกจากผมกับเอดมอนด์เท่านั้น
เมื่อผ่านช่วงการปีนผาหิน เราก็จะโผล่มาบนสันเขาที่เป็นทรายและเถ้าถ่านลาวาสีดำ ช่วงนี้ทางจะค่อย ๆ ลาดชันขึ้นปล่องภูเขาไฟอีกครั้ง รอบ ๆ ตัวไม่มีต้นไม้ต้นหญ้าขึ้นอยู่เลย เหมือนหลุดไปอยู่ดวงจันทร์ ทุกก้าวที่เราย่างขึ้นไปก็จะไหลกลับลงมาอีกครึ่งก้าวด้วยความที่พื้นทรายนั้นร่วนจัด ผมใส่แรงฮึดสุดท้ายค่อย ๆ ตะกายให้ถึงปล่อง
และแล้วเมื่อถึงยอดมารุม...ผมก็พบว่าในปล่องภูเขาไฟมีแต่หมอกควันขาวคลุ้งตระหลบจนผมไม่สามารถมองทะลุลงไปเห็นทะเลสาบลาวาเลย...
“ใจเย็น ๆ นะ รอสักพัก บนยอดเขาลมแรง เดี๋ยวลมก็อาจพัดหมอกกับควันลอยออกไปจากปล่องก็ได้” เอดมอนด์รีบปลอบอย่างรู้ทันความคิด
“ได้ ได้ ได้.... รอได้เอดมอนด์” ผมตอบอย่างแฮ่ก แฮ่ก แฮ่ก
ข้างบนนั้นลมแรงมาก พัดมาเป็นระลอก แรงขนาดที่ผมต้องนั่งกอดทุกอย่างไว้เพราะกลัวว่าจะปลิว
ฝนที่ตก ๆ หยุด ๆ มาเป็นระยะ กลายเป็นตกแบบไม่มีหยุด และทวีความรุนแรงขึ้นจนเกือบจะเป็นพายุลูกน้อย ๆ
ผมนั่งหนาวสั่น... มองไปทางปล่องภูเขาไฟมารุม หมอกและควันยังคงพวยพุ่งคละคลุ้งอยู่ในอากาศโดยไม่มีทีท่าว่าจะลดลงเลย
กลิ่นกำมะถันลอยมาเข้าจมูกเป็นระยะ ๆ เบาบ้างแรงบ้างพอมึน ๆ
เรานั่งมองหน้ากัน สลับกับมองไปทางปากปล่องภูเขาไฟ เอดมอนด์ลุกขึ้นไปชะโงกดูเป็นระยะ ๆ สำหรับผมนั้น การไปชะโงกดูตรงปากปล่องภูเขาไฟมารุมนั้นสร้างความเสียวสะท้านเอามาก ๆ เพราะข้างหน้าเป็นดร็อปออฟที่ทิ้งดิ่งลงเหวลึกไปกว่า 400 เมตรที่เบื้องล่างคือทะเลสาบลาวาร้อน ๆ เดือดปุด ๆ

ต่อให้ผมมองไม่เห็นเบื้องล่างเพราะหมอกและควันนั้นพรางอยู่ แต่ผมก็สามารถสัมผัสได้ถึงความชัน ทิ้ง และดิ่ง ของเหวลึกตรงหน้า ตอนที่ผมไปดู ผมไม่กล้าแม้แต่จะยืนมองลงไป ผมต้องคลานไปแอบชะโงกหน้าดู ยิ่งลมที่พัดแรงจนจะตัวปลิวเช่นนี้ อย่าหวังว่าผมจะมีแรงดันตัวเองให้เหยียดยืนขึ้นได้
กว่า 1 ชั่วโมงผ่านไป ทุกอย่างยังคงไม่ดีขึ้น และผมก็ยอมแพ้
“กลับเหอะเอดมอนด์” ผมพูดเสียงสั่นเพราะมันหนาวมาก
“ใช่.... เราอยู่บนนี้นานเกินไปแล้ว อากาศวันนี้คงไม่ดีไปกว่านี้.... เสียใจด้วยนะโอ๊ค” เอดมอนด์แอบสงสาร
“ไม่ต้องเสียใจเลย แค่ได้ขึ้นมาอยู่บนนี้ ได้รับรู้พลังของภูเขาไฟมารุม เราก็มีความสุขแล้วล่ะ” ผมตอบ แม้ว่ามันจะดูว่าเหมือนสคริปต์ภาพยนตร์ แต่ผมก็รู้สึกเช่นนั้นจริง ๆ
ผมอำลามารุม และเดินกลับลงมาโดยผ่านเส้นทางเดินทั้ง 3 ช่วงสู่หมู่บ้านรานเวทเลม และผมใช้เวลาพิชิตภูเขาไฟลูกนี้ทั้งสิ้น 7 ชั่วโมง นั่นคือไป 4 กลับ 3
……………………..
และบันทึกการเดินทางครั้งนี้คงจะไม่สมบูรณ์ถ้าผมไม่กล่าวถึง “เอดมอนด์” สุดยอดไกด์ของผมเสียหน่อย
เอดมอนด์ เป็นชาวบ้านที่หมู่บ้านรานเวทเลมที่มาม่าเดินมาจิ้มเลือกด้วยตัวเองเพื่อ ผมก็ไม่ทราบว่าทำไมมามาถึงเลือกเอดมอนด์ แต่มันเป็นอะไรที่ใช่มาก ๆ ตอนมามาพาผมไปถึงหมู่บ้าน เอดมอนด์กำลังนั่งเล่นอยู่ พอมามาเข้าพูดอะไรไปสัก 2-3 ประโยคด้วยภาษาท้องถิ่นเสร็จ
เอดมอนด์ก็หันไปหยิบมีดด้ามยาว หันมาบอกผมว่า "ไป....Let's go"
ดะ...ดะ..ดะ...เดี๋ยวนะครับเอดมอนด์.... นี่ยูใส่รองเท้าแตะแบบคีบกับกางเกงขาสั้นแบบอยู่บ้านนะครับ ใจคอจะไม่เปลี่ยนเป็นรองเท้าผ้าใบใส่ชุดปีนเขาอะไรเลยเหรอ !!! เอดมอนด์ดูเหมือนลุกขึ้นไปตัดกล้วยในสวนหลังบ้านชัด ๆ นี่เราต้องเดินบุกป่าฝ่าดงปีนป่ายไป-กลับไม่ต่ำกว่า 30-40 กิโลเมตรนะฮะ
“ฮึ่ย.... ไม่ต้องหรอก ไปแบบนี้แหละ ไอพาคนขึ้นมารุมเกือบทุกวัน" เอดมอนด์บอก แล้วเขาไม่ได้โม้เลยนะครับ ถ้าใครจะพิชิตภูเขาไฟมารุมนด้วยการเดิน ก็มักจะเริ่มต้นที่หมู่บ้านรานเวทเลมแห่งนี้ และก็มีมนุษย์อุตริแบบนี้มาให้เอดมอนด์พาไปเสมอแทบทุกวัน
เอดมอนด์เดินนำไปแบบชิลชิล ร้องเพลงหงุงหงิง ขณะที่ตี๋จากเมืองไทยเดินตามขึ้นเขาบุกป่าฝ่าดงแบบแฮ่ก แฮ่ก แฮ่ก เอดมอนด์ใช้มีดถางป่าหญ้าที่ขึ้นรกเพื่อนำทางไป เวลามีทากมาเกาะ เอดมอนด์เดินไปแบบไม่สนใจ นาน ๆ ก็จับโยนออกไปทีเหมือนปัดแมงวันแมงหวี่

น้ำสักขวดเอดมอนด์ก็ไม่พกนะครับ ขณะที่ผมพกน้ำแร่ขวดลิตรมาถึง 2 ขวด ส่วนอาหารนั้น เอดมอนด์ก็ไม่พกมาเช่นกันครับ ขณะที่ผมมีคุ้กกี้โอริโอ้ (ดับเบิ้ลครีม) 3 ห่อ
“แล้วน้ำท่าอาหารนี่นายไม่คิดจะกินเลยเหรอ" ผมถาม ขณะเดินตามไปเรื่อย ๆ
“ฮึ่ย.... ในป่ามีถมไป ไม่ต้องพกมาหรอก" เอดมอนด์ตอบผม
แล้วเขาก็ไม่ได้โม้นะครับ ขณะที่ผมพักดื่มน้ำแร่จากขวดเก๋ เอดมอนด์เอามีดฟันเถาวัลย์จากต้นไม้ใหญ่ดังฉับ ในนั้นมีน้ำไหลออกมาจากเถาวัลย์ให้เขาดื่มได้ด้วย ในขณะที่ผมละเลียดคุ้กกี้กักตุนพลังงาน เอดมอนด์เอามีดฟันลูกมะพร้าวที่ร่วงหล่นบนพื้นเพื่อปอกกินทั้งน้ำและเนื้อมะพร้าวเป็นของว่าง
“กินไหม" ผมยื่นคุ้กกี้ให้ “คุ้กกี้ดับเบิ้ลครีมนะ อร่อยมาก ๆ เลย” ผมเชิญชวน
“ฮึ่ย... ไม่อ่ะ มันบาดคอ แล้วทำให้คอแห้ง" เอดมอนด์ยี้ใส่คุ้กกี้ดับเบิ้ลครีมเหมือนเป็นดั่งยาพิษ
เวลามาถึงทางแยกหลัก เอดมอนด์เอามีดตัดหญ้าต้นสูงสีเขียวสด วางลงบนพื้น โดยเอาปลายที่มีใบชี้ไปในทิศทางที่เรากำลังมุ่งหน้าไป
“ทำไรน่ะ?” ผมถาม
“เราต้องบอกไว้ว่าเราไปทางไหนโดยใช้ปลายที่มีใบชี้ไปทางนั้น หญ้าสด ๆ เขียว ๆ แปลว่าเพิ่งมีคนผ่านไป ถ้าเราหายไป คนที่ตามหาจะได้ตามมาถูก ลองดูที่พื้นสิ" ผมมองลงพื้นตามที่เอดมอนด์ชี้ มันมีหญ้าแห้ง ๆ สีน้ำตาลทอดตัวอยู่หลายต้น นั่นแปลว่ามีคนผ่านไปผ่านมาทางนี้หลายวันมาแล้ว....
การผจญภัยโดยมีเอดมอนด์นำทางนั้นเป็นประสบการณ์ที่เพลิดเพลินมาก เอดมอนด์ร้องเพลงบ้าง คุยบ้าง ให้ความรู้เรื่องวิชาเอาตัวรอดแบบชาววานูอาตูไปตลอดทาง
และเมื่อถึงยอดมารุม ฝนก็ตกกระหน่ำ ลมก็แรงจนจะปลิว หมอกและควันปกคลุมอยู่หนามาก จนผมไม่อาจจะยืนทรงตัวอยู่ได้ ผมถึงแก่คลานขึ้นเขาโดยมีเอดมอนด์คอยดันก้นผมขึ้นไปเรื่อย ๆ จะมีไกด์ไหนที่เสียสละเช่นนี้
ผมกลับมาที่หมู่บ้านรานเวทเลมในเวลาโพล้เพล้ด้วยสภาพโทรมสุด ๆ และแล้วก็ถึงเวลาอำลาเอดมอนด์ เพราะผมต้องเดินเท้าต่ออีก 1 ชั่วโมงกลับไปหามาม่าที่หมู่บ้านรานอนด้วยตัวเอง
“เอ่อ....กลับไปหมู่บ้านรานอนยังไงนะ ....ลืมทางแล้วอ่ะ" ผมเริ่มซีด ขามามาม่าพามา ขากลับต้องกลับเอง ตอนนั้นจะเริ่มมืดแล้วด้วย เวรล่ะกู
ถ้าจะพูดให้ถูกคือ ผมไม่ได้จำทางไม่ได้เลย เพราะขามาผมเดินตามมาม่ามาอย่างเดียว
“ฮึ่ย.... ง่ายจะตาย เดินเลียบทะเลไปเรื่อย ๆ แล้วเข้าป่าไปเรื่อย ๆ แล้วก็เดินเลียบทะเลไปอีกเรื่อย ๆ สักพักยูก็จะเจอโรงเรียนของหมู่บ้าน นั่นแปลว่าจะเข้ารานอนแล้ว" เอดมอนด์ตอบ
แล้วถ้ากูหลงล่ะ ถ้ากูหลงล่ะ.... ผมกรีดร้องในใจ
“มานี่.... เดี๋ยวไปให้ส่งครึ่งทาง" เสียงสวรรค์ดังมาจากปากเอดมอนด์ราวกับว่าเขาอ่านใจผมออก
เราเดินต่อมากันอีกพักใหญ่จากรอนเวทเลมเพื่อไปทางรานอน ตอนนี้ฟ้ามืดแล้วจริง ๆ ผมมีเพียงไฟฉายให้แสงสว่างอยู่ในมือ ท่ามกลางความสงัด
“เอาล่ะ ส่งแค่นี้นะ เห็นรอยคนเดินไหม นั่นแหล่ะ เดินตามรอยนี่ไปเลย.... โชคดี" ผมจับมืออำลาเอดมอนด์พร้อมกล่าวขอบคุณ ว่าแล้วก็รีบจ้ำกลับรานอนไปหามาม่า
ผมหันกลับมาเห็นเอดมอนด์ยืนท้าวสะเอวมองอยู่ว่าไอ้ตี๋นี่มันไปถูกทางไหม
“ฮึ่ย.... ไปได้น่า ยูกลับรานเวทเลมไปเฮอะ" ผมตะโกนตอบ
เราขอขอบคุณนายมากเลยว่ะ....เอดมอนด์
เย็นนั้นผมกลับไปถึงรานอน บีช บังกาโล ไม่ดึกนัก และมาม่าก็ดีใจมากที่ลูกตี๋รอดกลับมาอย่างปลอดภัย แม้จะไม่ได้เห็นทะเลสาบลาว่าอย่างที่หวังไว้
แต่ผมก็ไม่เคยเสียใจที่ได้ไปถึงบนยอดภูเขาไฟลูกนั้น ในวันนั้น
ส่งท้าย
ชมภาพทะเลสาบลาวาของภูเขาไฟมารุมที่ถ่ายโดยโอลิวิเย่ร์ กรืนเนอฟวาลด์ (Olivier Grunewald) คลิกได้ที่
ชมคลิปทะเลสาบลาวา https://www.youtube.com/watch?v=ABfCoNC1I8M
STORY BY โลจน์ นันทิวัชรินทร์