ร้อนแค่ไหนก็รอด!! ด้วยวิธีดูแลสุขภาพผิวหน้าให้พร้อมเมื่อต้องเผชิญกับสภาพอากาศร้อนจัด
'ธัญ’ (THANN) ร่วมกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังและความงาม แนะวิธีดูแลสุขภาพผิวหน้าให้พร้อมเมื่อต้องเผชิญกับสภาพอากาศร้อนจัด พร้อมเทคนิคการแต่งหน้าที่เหมาะกับสภาพอากาศร้อน
สภาพอากาศร้อนที่ร้อนอบอ้าวนอกจากจะส่งผลกระทบต่อสุขภาพผิวหน้าของเราทำให้หน้าของเรามันเยิ้ม เป็นสิว ฝ้าและกระได้ง่ายแล้ว ยังเป็นอุปสรรคในการแต่งหน้าที่ย่อมส่งผลถึงความมั่นใจของเราด้วย แบรนด์ผลิตภัณฑ์เพื่อการดูแลสุขภาพผิวและเส้นผม ‘ธัญ’ (THANN) ร่วมกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังและความงาม แพทย์หญิงกนกวรรณ เศรษฐพงศ์วนิช แนะ “วิธีดูแลสุขภาพผิวหน้าให้พร้อมเมื่อต้องเผชิญกับสภาพอากาศร้อนจัด” กับผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพผิว ได้แก่ ‘เพียวริฟายอิ้ง เฟซ วอช’(Purifying Face Wash), ‘โอ๊ตมีล เฟซ สครับ’ (Oatmeal Face Scrub), ‘รีไวทอลไลซิ่ง เฟซ มาส์ก’ (Revitalizing Face Mask) และ ‘ไฮเดรติ้ง อิมัลชั่น’ (Hydrating Emulsion) พร้อมเผย “เทคนิคการแต่งหน้าที่เหมาะกับสภาพอากาศที่ร้อนอบอ้าว” โดยช่างแต่งหน้ามืออาชีพ ปรีชา ดวงเพชร (จิม เมคอัพ) และเซเลบริตี้สาวสวยร่วมเผยเคล็ดลับการดูแลสุขภาพผิวหน้าและเทคนิคการแต่งหน้าแบบมินิมอล อาทิ ณัฐสิมา ศิริสุนทร และ รินทร์รตา อินทามระ
4 ปัญหาผิวสาเหตุจากความร้อน
แพทย์หญิงกนกวรรณ เศรษฐพงศ์วนิช แนะวิธีดูแลสุขภาพผิวหน้าให้พร้อมเมื่อต้องเผชิญกับสภาพอากาศร้อนจัด ว่า "แสงแดดประกอบด้วยคลื่นความถี่ของรังสีที่แตกต่างกันตามความยาวคลื่น รังสียูวีมีความยาวคลื่นสั้นในช่วง 280-400 นาโนเมตร และรังสีอินฟราเรดหรือที่เรียกกันว่ารังสีความร้อนมีความยาวคลื่นยาวอยู่ในช่วง 700 นาโนเมตร - 1 มิลลิเมตร ซึ่งเป็นรังสีที่ก่อให้เกิดอันตรายและสร้างความเสียหายต่อผิวของเรา ยิ่งความยาวแสงมากจะยิ่งส่งผลให้เกิดคลื่นความร้อน (Heat wave) มากขึ้น ซึ่งส่งผลให้เกิดปัญหาผิว ดังนี้
- ผิวขาดความชุ่มชื้น (Dehydration) หรือผิวขาดน้ำ เนื่องจากความร้อนกระตุ้นให้รูขุมขนขยายตัว และต่อมเหงื่อทำงานมากขึ้น เพื่อขับเหงื่อมาระบายความร้อนออกจากร่างกาย ส่งผลให้ผิวสูญเสียน้ำและแห้งกร้านได้ง่าย
- ผิวอักเสบจากความร้อน (Thermal damage skin) เนื่องจากความร้อนจะกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งสารไซโตไคน์ (Cytokine) มากเกินไป ทำให้ผิวเกิดการระคายเคือง อักเสบ แดง โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ที่มีปัญหาโรคผื่นผิวหนังอยู่แล้วยิ่งทำให้ผิวเกิดการอักเสบง่าย
- ผิวหมองคล้ำ (Dull skin) เนื่องจากแสงแดดและความร้อนจะไปกระตุ้นเมลาโนไซต์ (Melanocyte) ให้ผลิตเมลานิน (Melanin) เพิ่มมากขึ้น ทำให้สีผิวเข้มขึ้น
- ผิวแก่ก่อนวัย (Skin aging) ปกติแล้วผิวหนังของคนเราจะมีอุณหภูมิอยู่ที่ประมาณ 33 องศาเซลเซียส แต่เมื่อสัมผัสไอความร้อนจะทำให้อุณหภูมิในร่างกายสูงขึ้นเรื่อยๆ ส่งผลให้คอลลาเจนใต้ผิวหนังถูกทำลาย ผิวจึงขาดความยืดหยุ่น เกิดริ้วรอยและความเหี่ยวย่น
ดังนั้น เราควรหลีกเลี่ยงกิจกรรมหรือสถานที่ที่ต้องเผชิญกับแสงแดดหรือไอความร้อนโดยตรง แต่หากหลีกเลี่ยงไม่ได้ก็ต้องมีวิธีป้องกันตัวเอง โดยเริ่มจากการเลือกสวมใส่เสื้อผ้าที่มิดชิด เลือกเนื้อผ้าที่ระบายอากาศได้ดี ใช้อุปกรณ์ป้องกันแสงแดดอย่างร่ม แว่นตา และหมวก หรือหากจำเป็นต้องทำกิจกรรมที่ต้องเจอไอความร้อนอย่างการทำอาหารหน้าเตาไฟก็ควรสวมหน้ากาก และสวมปลอกแขนทุกครั้ง
หากร่างกายมีอุณหภูมิร่างกายที่สูงควรหาวิธีลดอุณหภูมิผิวให้เย็นลง โดยหาผ้าชุบน้ำเย็นเช็ดตามข้อผับ และส่วนต่างๆ ของร่างกาย เปิดพัดลมเพื่อช่วยให้เกิดความเย็น แต่ไม่แนะนำให้เข้าห้องแอร์ทันที เนื่องจากร่างกายอาจปรับอุณหภูมิไม่ทันและความเย็นของแอร์จะมาพร้อมกับความแห้งยิ่งทำให้ผิวสูญเสียความชุ่มชื้นได้ง่าย ควรดื่มน้ำสะอาดเพื่อชดเชยน้ำที่ร่างกายสูญเสียไป การอาบน้ำก็สามารถช่วยลดอุณหภูมิผิวให้กลับมาเป็นปกติได้
นอกจากนี้ การดูแลและบำรุงผิวหน้าเป็นประจำก็สามารถช่วยให้ผิวมีความแข็งแรง ไม่เป็นผื่นแพ้ หรือโดนทำลายได้ง่าย สามารถเริ่มได้จากการล้างทำความสะอาดผิวหน้า การสครับเพื่อกระตุ้นการผลัดเปลี่ยนเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพ การมาส์กหน้าเพื่อฟื้นบำรุงผิว รวมถึงการทาครีมบำรุงเพื่อเติมเต็มความชุ่มชื้นให้ผิว และไม่ลืมทาครีมกันแดดทุกครั้งก่อนออกจากที่พัก เพราะแสงแดดหรือไอความร้อนไม่ว่ามากหรือน้อยก็สามารถทำร้ายผิวของเราได้
ส่วนเกณฑ์การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพผิวหน้า ควรมีส่วนผสมของสารสกัดธรรมชาติที่มีคุณสมบัติในการบำรุงและปกป้องผิวด้วย อาทิ สารสกัดจากชิโซะ (Shiso extract) ที่มีความโดดเด่นในด้านการให้ความชุ่มชื้น ช่วยฟื้นฟูเซลล์ผิวจากความแห้งกร้านและการเสื่อมสภาพของผิว อีกทั้งยังช่วยยับยั้งกระบวนการทำงานของเอนไซม์ไทโรซิเนส (Tyrosinase Inhibitor) ในกระบวนการสร้างเม็ดสีเมลานิน (Melanin), น้ำมันข้าว (Rice Ban Oil) อุดมด้วยกรดไขมันที่เป็นประโยชน์, วิตามิน อี และสารแกมม่าออริซานอล (Gamma-Oryzanol) มอบความชุ่มชื้นพร้อมคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระทรงประสิทธิภาพ ปกป้องผิวจากมลภาวะเป็นต้น”
เทคนิคการแต่งหน้าช่วงอากาศร้อน
ด้าน ปรีชา ดวงเพชร ช่างแต่งหน้ามืออาชีพได้ร่วมเผยเทคนิคการแต่งหน้าแบบมินิมอลที่เหมาะกับสภาพอากาศร้อนอบอ้าวว่า ความสำคัญของการแต่งหน้าก็เพื่อความสวยงาม และช่วยปกปิดจุดด้อยต่างๆ บนใบหน้าเรา ดังนั้นการมีผิวสวยสุขภาพดีถือว่าเป็นพื้นฐานของการแต่งหน้าเลยก็ว่าได้ สามารถเริ่มได้จากการล้างทำความสะอาดผิวหน้า หากแต่งหน้าควรเช็ดทำความสะอาดด้วยคลีนซิ่งก่อนเพื่อขจัดคราบเครื่องสำอาง แล้วล้างหน้าด้วยเพียวริฟายอิ้ง เฟซ วอช ตามด้วยการปรับสภาพผิวและกระชับรูขุมขนด้วยโทนเนอร์ เพื่อเตรียมผิวให้พร้อมสำหรับการบำรุงก่อนบำรุงผิวด้วยมอยเจอร์ไรเซอร์ที่สามารถมอบความชุ่มชื้นให้กับผิวได้ยาวนาน และที่สำคัญควรเป็นมอยเจอร์ไรเซอร์ที่เป็นเนื้ออิมัลชั่น (Emulsion) ก็จะเหมาะกับสภาพอากาศร้อนอบอ้าวอย่างบ้านเรา และไม่ควรลืมทาครีมกันแดดเพื่อปกป้องผิวจากแสงแดดก่อนการแต่งหน้า
เทรนด์การแต่งหน้าในแต่ละปีอาจจะไม่ได้แตกต่างกันมาก แต่จะเน้นการเลือกใช้สีสันแต่งแต้มตามแต่ละฤดูกาล อย่างช่วงสปริง ซัมเมอร์ จะเน้นสีโทนธรรมชาติอย่างสีน้ำตาล เบจ นู้ด หากเป็นช่วง ออทัม วินเทอร์ ก็จะมีสีสัน มีการเพิ่มกลิตเตอร์ ชิมเมอร์ ให้ดูแวววาวมีลูกเล่น ดูสนุกสนานมากขึ้นสำหรับเทรนด์การแต่งหน้าที่เหมาะสำหรับสภาพอากาศร้อนอบอ้าวแบบช่วงนี้ก็จะเน้นการใช้เครื่องสำอางน้อยๆ แบบเบาสบาย เพื่อเป็นการโชว์ผิวได้และไม่ทำให้หน้าเราเกิดความมันเยิ้มได้ง่าย สามารถแบ่งออกเป็น 2 แบบ คือ
การแต่งหน้าแบบ Skinimalism มาจากการรวมคำว่า "Skin" (ผิวหนัง) และ "Minimalism" (การเน้นสิ่งน้อยลง) เข้าด้วยกัน การแต่งหน้าแนวนี้จะเน้นความเรียบง่ายและเปิดเผยความเป็นธรรมชาติของผิว โดยให้ความสำคัญกับขั้นตอนการบำรุงผิวให้ชุ่มชื้นดูมีสุขภาพดีมากกว่าเน้นการประโคมด้วยเครื่องสำอางเพื่อปกปิดจุดบกพร่องอย่างริ้วรอย จุดด่างดำหรือรูขุมขน อาจมีการใช้รองพื้นแบบที่มีความเบา เกลี่ยง่าย เพื่อทำให้สีผิวดูสม่ำเสมอกัน เพราะช่วยให้ผิวสามารถหายใจได้และลดการอุดตันของรูขุมขน นอกจากนี้ยังสามารถแต่งเติมสีสันและความโกลว์ได้ด้วยการแต่งตา แต่งคิ้ว และทาลิปสติกเฉดสีที่ชอบได้
และการแต่งหน้าแบบ Makeup No Makeup จะเน้นความเป็นธรรมชาติ ไม่ฉูดฉาด เหมือนไม่ใช้เครื่องสำอาง การแต่งหน้าแนวนี้จะใช้เบสหรือไพรเมอร์เพื่อปรับสภาพสีผิวแทนการใช้รองพื้น ใช้คอนซีลเลอร์ปกปิดริ้วรอยเฉพาะจุด ใช้แป้งฝุ่นเพื่อควบคุมความมันส่วนเกินบนใบหน้า ใช้ครีมบลัชแทนการใช้บลัชออนแบบฝุ่น ส่วนตาไม่ต้องใช้อายแชโดว์หรือใช้เพียงสีเดียวอ่อนๆ ดัดขนตาและปัดมาสคาร่าก็เพียงพอ ส่วนคิ้วก็เขียนตามโครงคิ้วเดิมและใช้แปรงปัดจัดระเบียบให้เรียบร้อย ถ้าเป็นลิปก็ใช้ลิปกลอสเพื่อความเป็นธรรมชาติ