7 ใน 10 เยาวชนไทยหลุดจากระบบการศึกษาและตลาดแรงงาน เพราะความรู้สึกว่าตัวเองขาดโอกาส
ยูนิเซฟชี้เยาวชนที่เลิกเรียนกลางคัน หรือว่างงานเกือบ 7 ใน 10 คนในประเทศไทย ขาดแรงจูงใจในการพัฒนาทักษะหรือหางาน
ปัจจุบันตัวเลขจำนวนเยาวชนที่ไม่ได้อยู่ในการทำงาน การศึกษา หรือการฝึกอบรม (Youth Not in Employment, Education, or Training: NEET) ในประเทศไทยที่กำลังเพิ่มสูงขึ้น ถือเป็นปรากฏการณ์ด้านสังคมและเศรษฐกิจที่น่าเป็นห่วง โดยปัจจุบันมีเยาวชนอายุระหว่าง 15-24 ปี ประมาณ 1.4 ล้านคน เป็นกลุ่ม NEET (หรือคิดเป็นร้อยละ 15 ของเยาวชนทั้งหมด ) และรายงานฉบับใหม่ของยูนิเซฟที่เผยแพร่วันนี้ พบว่า เยาวชนกลุ่มนี้ส่วนใหญ่ (ร้อยละ 68) ขาดแรงจูงใจในการพัฒนาทักษะหรือหางานทำ เพราะรู้สึกว่าตนเองขาดโอกาส
รายงานใหม่นี้ชื่อว่า “งานวิจัยเชิงลึกเกี่ยวกับเยาวชนที่ไม่ได้อยู่ในการทำงาน การศึกษา หรือการฝึกอบรม (Youth Not in Employment, Education, or Training: NEET) ในประเทศไทย” ซึ่งจัดทำโดยจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและสนับสนุนโดยองค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย เป็นงานวิจัยเชิงลึกชิ้นแรกที่นำเสนอภาพรวมเกี่ยวกับเยาวชนกลุ่ม NEET ในประเทศไทย โดยได้ศึกษาปัจจัยที่ทำให้เยาวชนหลุดออกจากระบบการศึกษาและตลาดแรงงาน รวมทั้งชี้ให้เห็นช่องว่างของนโยบายและบริการที่มีอยู่ในปัจจุบัน ตลอดจนนำเสนอแนวทางการแก้ไขเพื่อจัดการกับปัญหาดังกล่าว
งานวิจัยชี้ให้เห็นว่า ประมาณร้อยละ 70 ของเยาวชนกลุ่ม NEET เป็นผู้หญิง ซึ่งส่วนใหญ่ออกจากโรงเรียนเมื่อตั้งครรภ์หรือมีภาระต้องดูแลคนในครอบครัว อย่างไรก็ตาม สาเหตุที่ทำให้เยาวชนกลายเป็นกลุ่ม NEET นั้นซับซ้อนและมีหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเพศ เชื้อชาติ สุขภาพ ระดับการศึกษา การขาดโอกาสและแรงสนับสนุน สถานะทางเศรษฐกิจและสังคม ตลอดจนการทำงานที่ไม่ตรงกับความสามารถ ปัจจัยเหล่านี้ล้วนทำให้เด็กและเยาวชนมีความเสี่ยงในการเป็น NEET
นางคยองซอน คิม ผู้อำนวยการองค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย กล่าวว่า “การที่เยาวชนจำนวนมากกลายเป็นกลุ่ม NEET ถือเป็นประเด็นที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่งสำหรับประเทศไทย โดยเฉพาะเมื่อไทยได้กลายเป็นประเทศที่มีผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วที่สุดแห่งหนึ่งของโลก นั่นแปลว่าเด็กและเยาวชนในวันนี้จะต้องมีความสามารถ มีทักษะ และมีศักยภาพมากกว่าคนรุ่นก่อนเพื่อที่จะนำพาประเทศชาติไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจและสังคมได้ และนั่นก็หมายความว่า เรามีภารกิจอันเร่งด่วนที่ต้องช่วยให้เด็กและเยาวชนสามารถพัฒนาได้อย่างเต็มศักยภาพ ด้วยการเข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพ และการฝึกอบรมทักษะที่ตอบสนองความต้องการของพวกเขา และเตรียมความพร้อมในการเข้าสู่ตลาดแรงงานในโลกยุคใหม่และเป็นพลเมืองที่ร่วมสร้างความรุ่งเรืองและเท่าเทียมให้แก่ประเทศ”
รายงานยังระบุว่า การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้สถานการณ์เลวร้ายลง โดยก่อให้เกิดการเรียนรู้ที่ถดถอย การตกงาน หรือการหางานที่ยากขึ้นและใช้เวลานานขึ้น ตลอดจนโอกาสในการเรียนรู้และการเข้าถึงการฝึกอบรมทักษะที่ลดลง ทั้งหมดนี้ส่งผลให้เยาวชนเกิดความท้อแท้และขาดแรงจูงใจในการเรียนหนังสือ ฝึกทักษะ หรือหางาน และกลายเป็นกลุ่ม NEET มากขึ้น
ข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติพบว่า จำนวนเยาวชนที่อยู่ในตลาดแรงงานลดลงจาก 4.8 ล้านคนในปี 2554 เหลือ 3.7 ล้านคนในปี 2564 โดยที่อัตราการว่างงานในกลุ่มเยาวชนอายุ 15-24 ปีเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 5.8 ในปี 2554 เป็นร้อยละ 6.5 ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2565 โดยสูงกว่าอัตราการว่างงานของวัยผู้ใหญ่ซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 0.7
ในปี 2565 สภาเด็กและเยาวชนแห่งประเทศไทย กรมกิจการเด็กและเยาวชน และยูนิเซฟได้จัดทำการสำรวจเด็กและเยาวชนอายุ 10-25 ปีกว่า 55,000 คนทั่วประเทศ และพบว่า มีเยาวชนไม่ถึงร้อยละ 40 ที่รู้สึกว่าระบบการศึกษาในปัจจุบันช่วยให้พวกเขามีความพร้อมสำหรับตลาดแรงงาน ในขณะที่เพียงร้อยละ 36 เห็นว่าการเรียนออนไลน์ที่โรงเรียนจัดให้นั้นมีประสิทธิผล
รายงานใหม่ของยูนิเซฟยังระบุถึงความท้าทายต่าง ๆ ในการจัดการปัญหาเยาวชนกลุ่ม NEET เช่น การขาดนโยบายร่วม และการขาดการประสานงานหรือการทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งทำให้บริการต่าง ๆ ทั้งในด้านการศึกษา การฝึกอบรม และการจัดหางานมีอยู่อย่างจำกัด แยกส่วน และไม่สอดคล้องกัน ซึ่งทั้งหมดนี้ต้องอาศัยผู้นำและความมุ่งมั่นจากผู้กำหนดนโยบายในระดับสูงในการแก้ปัญหาดังกล่าว
นายสุรชัย ชัยตระกูลทอง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า “กระทรวงแรงงานได้ตระหนักถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการแก้ไขปัญหาเยาวชน NEET และต้องให้การสนับสนุนเพื่อให้พวกเขากลับเข้าสู่ระบบการศึกษา เข้าถึงการฝึกอบรม และมีการจ้างงานที่มีคุณภาพ หนทางหนึ่งในการบรรลุเป้าหมายดังกล่าวคือการบูรณาการความร่วมมือจากหลาย ๆ ภาคส่วนในการพัฒนาทักษะที่จำเป็น ให้ความช่วยเหลือทางสังคม และผลักดันการมีส่วนร่วมของเยาวชน รวมทั้งเสริมสร้างโอกาสและความเท่าเทียมในการศึกษา การฝึกอาชีพ และการจ้างงานแก่เยาวชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มเปราะบาง ซึ่งจะช่วยให้พวกเขาสามารถใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพ โดยเฉพาะการเปลี่ยนผ่านจากวัยรุ่นไปสู่วัยผู้ใหญ่ และการพัฒนาทักษะที่จำเป็นเพื่อการดำเนินชีวิตในศตวรรษที่ 21”
ยูนิเซฟเรียกร้องให้มีการดำเนินการอย่างเร่งด่วนเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยการจัดตั้งศูนย์บริการแบบเบ็ดเสร็จทั่วประเทศ เพื่อให้การสนับสนุนแบบครบวงจรและตอบโจทย์เยาวชนทั่วไปและเยาวชนกลุ่ม NEET โดยบริการดังกล่าว ได้แก่ การให้คำปรึกษา การส่งเสริมการมีส่วนร่วม การสนับสนุนทางการเงินและแหล่งทุนที่เข้าถึงได้ เพื่อสนับสนุนเด็กและเยาวชนกลุ่มเปราะบางให้กลับมาเรียน ฝึกทักษะ หรือทำงานได้ ซึ่งข้อเสนอนี้เป็น 1 ใน 7 ข้อเรียกร้องจากยูนิเซฟสำหรับการเลือกตั้งในประเทศไทย
นางคิม กล่าวเสริมว่า “จะเห็นได้ชัดว่า เยาวชนกลุ่ม NEET มีความเสี่ยงสูงที่ต้องเผชิญกับความยากจน การถูกกีดกัน และมักขาดโอกาสและช่องทางที่จะเพิ่มพูนทักษะและความสามารถของตนเอง ด้วยเหตุนี้ การพัฒนาโอกาสในการจ้างงาน การศึกษาและการฝึกอบรม ตลอดจนการส่งเสริมให้สังคมยอมรับเยาวชนที่ขาดโอกาส จึงถือเป็นนโยบายเร่งด่วนของไทย หากประเทศไทยต้องการเขยิบฐานะเป็นประเทศที่มีรายได้สูงและมีการพัฒนาทางเศรษฐกิจและสังคมที่ก้าวหน้าและเท่าเทียม”