HAPPENING BKK
NLINE MAGAZINE
×
แพทย์ผิวหนังและความงาม เผยวิธีรับมือมลภาวะและ PM2.5 สาเหตุของการเกิดสิวและผิวแพ้ง่าย
by HBKK
2 มี.ค. 2566, 07:30
  404 views

มลภาวะทางอากาศทำร้ายสุขภาพคุณมากกว่าที่คิด หนึ่งในมลพิษที่ลอยในอากาศ (Airborne particulate matter pollution) ที่เป็นปัญหาใหญ่และยากจะจัดการได้อย่าง PM2.5 (Particulate Matter) หรือฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน 2.5 ไมครอน ซึ่งมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นทุกปี นับเป็นสิ่งที่เราต้องเผชิญในชีวิตประจำวันที่มิอาจหลีกเลี่ยงได้ และส่งผลเสียต่อระบบทางเดินหายใจ และสุขภาพผิวโดยตรง โดย PM2.5 จะไปทำปฏิกิริยาออกซิเดชั่น (Oxidation) กับชั้นฟิล์มไขมันเคลือบผิว (Sebum) ที่ทำหน้า เสมือนเกราะปกป้องผิวให้เกิดการระคายเคือง อักเสบ อุดตัน นำมาซึ่งปัญหาผิว อาทิ สิว ริ้วรอย รวมถึงความหมองคล้ำ ดังนั้นการทำความสะอาดผิวจึงเป็นจุดเริ่มต้นและเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับดูแลและเตรียมผิวให้พร้อมก่อนเข้าสู่ขั้นตอนการฟื้น บำรุงผิวต่อไป

 

แพทย์หญิงอวิกา รงค์ทอง  แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังและความงาม แนะวิธีรับมือกับมลภาวะและ PM2.5 สาเหตุของการเกิดสิวและผิวแพ้ง่ายว่า มลภาวะและฝุ่น PM 2.5 ยังคงเป็นปัญหาต่อเนื่องที่เราต้องเผชิญกันในปัจจุบัน และมีแนวโน้มที่ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ นอกจากจะก่อให้เกิดปัญหาต่อระบบทางเดินหายใจ ระบบหัวใจและหลอดเลือดแล้ว ยังส่งผลกระทบโดยตรงต่อผิวหนัง ทำให้ผิวเกิดการเสื่อมสภาพได้เร็วขึ้น ซึ่งมลภาวะและPM 2.5 สามารถจับตัวกับสารเคมีและโลหะหนักต่างๆ ในอากาศ เมื่อสัมผัสกับผิวหนังจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อการทำงานของเซลล์ผิวทำให้เกิดความผิดปกติกับกลไกการปกป้องผิวจากสภาพแวดล้อมภายนอก รวมถึงส่งผลต่อกระบวนการซ่อมแซมเซลล์ผิว โดยจะไปกระตุ้นให้เกิดการอักเสบของเซลล์ผิวและทำให้ภูมิต้านทานของผิวแย่ลง ผิวสูญเสียความชุ่มชื้นได้ง่าย เกิดสิว อาการแดงคัน ระคายเคือง ริ้วรอยและจุดด่างดำ ในบางรายอาจเกิดลมพิษขึ้นบริเวณใบหน้า

เนื่องจากฝุ่น PM 2.5 มีขนาดเล็กกว่ารูขุมขนถึง 20 เท่า จึงสามารถแทรกซึมเข้าสู่รูขุมขนได้ง่าย ส่งผลกระทบโดยตรงต่อผิวหนังขึ้นอยู่กับระดับความเข้มข้นและระยะเวลาที่ผิวสัมผัสกับฝุ่น PM 2.5 สามารถแบ่งออกเป็น 2 ระยะ คือ

·     ระยะเฉียบพลัน ก่อให้เกิดอาการอักเสบ ระคายเคืองของผิว ทำให้ผิวเสียสมดุลความชุ่มชื้น เนื่องจากฝุ่น PM 2.5 สามารถทำลายเซลล์ผิวชั้นนอก หรือชั้นหนังกำพร้าและทำลายโปรตีนฟิลแลกกริน (Filaggrin) ที่มีหน้าที่ป้องกันผิวหนัง (Epidermal barrier protein)

·   ระยะเรื้อรัง PM 2.5 กระตุ้นให้เกิดอนุมูลอิสระรบกวนการทำงานของเซลล์ผิว ทำให้ผิวเสื่อมเร็วกว่าปกติ ทำลายคอลลาเจน ผิวจึงเกิดความเหี่ยวย่น ริ้วรอย รวมถึงกระตุ้นให้ผิวผลิตเม็ดสีซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดฝ้า กระ และจุดด่างดำ

หากสัมผัสฝุ่น PM 2.5 เพียง 10 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ช่วงเวลาไม่เกิน 2 ชั่วโมง ก็สามารถกระตุ้นให้เกิดการอักเสบของผิวหนังได้แล้ว และหากต้องเผชิญกับฝุ่นละอองระดับ 50 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร จะก่อให้เกิดภาวะความชราของผิว รวมถึงการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันของผิวลดลง

 

สำหรับคนที่มีสภาพผิวมัน อาจพบปัญหาการอุดตันของรูขุมขน ทำให้เป็นสิวได้ง่ายขึ้น รวมถึงคนที่มีสภาพผิวอ่อนแอและแพ้ง่าย ผิวมักจะเกิดผด ผื่น ร่วมกับอาการคันและระคายเคืองได้ง่าย นอกจากผิวหน้าแล้ว ผิวบริเวณอื่นของร่างกายอย่างข้อพับก็สามารถเกิดผื่นแดงคันได้ด้วยเช่นกัน

การป้องกันผลกระทบจากมลภาวะและฝุ่น PM 2.5 นอกจากการสวมหน้ากากอนามัยแล้ว ควรอาบน้ำชำระร่างกายเมื่อกลับเข้าที่พักทันที รวมถึงให้ความสำคัญกับการทำความสะอาดผิวหน้าเป็นพิเศษ โดยเฉพาะผู้ที่แต่งหน้าควรล้างคราบเครื่องสำอางบนผิวให้สะอาดด้วยผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่มีความอ่อนโยนและเหมาะกับแต่ละสภาพผิว สามารถใช้ร่วมกับมาส์กที่มีคุณสมบัติในการดูดซับสิ่งสกปรกตกค้างและความมันส่วนเกินของผิว สัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง ควรปรับสภาพผิวและกระชับรูขุมขนด้วยการใช้โทนเนอร์หลังการล้างหน้าทุกครั้ง นอกจากจะเป็นการทำความสะอาดหลังการล้างหน้าแล้วยังถือเป็นเตรียมผิวให้พร้อมสำหรับขั้นตอนรับการบำรุงต่อไปอีกด้วย

ส่วนเกณฑ์การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ล้างทำความสะอาดผิวหน้า นอกจากคุณสมบัติในการทำความสะอาดผิวแล้ว ควรมีส่วนผสมของสารสกัดธรรมชาติที่มีคุณสมบัติในการบำรุงและปกป้องผิวด้วย เช่น สารสกัดจากชิโซะ (Shiso extract) ที่มีความโดดเด่นในด้านการให้ความชุ่มชื้น ช่วยฟื้นฟูเซลล์ผิวจากความแห้งกร้านและการเสื่อมสภาพของผิว อีกทั้งยังช่วยยับยั้งกระบวนการทำงานของเอนไซม์ไทโรซิเนส (Tyrosinase Inhibitor) ในกระบวนการสร้างเม็ดสีเมลานิน (Melanin), น้ำมันข้าว (Rice Ban Oil) อุดมด้วยกรดไขมันที่เป็นประโยชน์, วิตามิน อี และสารแกมม่าออริซานอล (Gamma-Oryzanol) มอบความชุ่มชื้นพร้อมคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระทรงประสิทธิภาพ ปกป้องผิวจากมลภาวะ เป็นต้น

นอกจากนี้ ควรเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ทั้งผัก ผลไม้หลากสี รวมถึงงดการทำกิจกรรมหรือออกกำลังกายกลางแจ้ง โดยสามารถปรับเปลี่ยนมาออกกำลังในร่มแทน นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ควรดื่มน้ำสะอาดในระหว่างวันให้มากๆรวมถึงหมั่นสังเกตตัวเองอยู่เสมอ หากผิวเกิดตุ่มผื่นที่มีลักษณะนูนแดง กระจายบนผิวหนัง รอบดวงตา มีอาการตาแดง เปลือกตาบวม มีน้ำตาไหล ใต้ตาช้ำมีสีคล้ำร่วมกับอาการที่เกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ เช่น อาการคัน แน่นในโพรงจมูก แน่นหน้าอก ไอ จาม มีน้ำมูกใสๆ อาการเหล่านี้เป็นสัญญาณเตือนถึงอาการแพ้ฝุ่น PM2.5 ดังนั้นควรรีบเข้าพบแพทย์โดยทันที”

 

ด้านเซเลบริตี้สาวสวยผู้บริหารรุ่นใหม่ สิริน ศรีอรทัยกุล เผยว่า “ปกติแล้วแพมชอบทำกิจกรรมกลางแจ้งอย่างการเล่นเวค เซิร์ฟ เพราะรู้สึกสนุกและได้ออกกำลังกายอย่างเต็มที่ แต่ช่วงนี้มลภาวะและฝุ่น PM2.5 มีปริมาณสูงขึ้น จึงต้องงดการทำกิจกรรมกลางแจ้ง เนื่องจากแพมเป็นคนที่มีผิวบอบบางแพ้ง่าย จึงมักมีอาการแพ้อากาศเมื่อต้องเผชิญกับฝุ่น PM 2.5 ทำให้เกิดอาการคันบริเวณแขนและขา มีผื่นแดงขึ้นบริเวณใบหน้า ผิวแห้งลอก ดังนั้นแพมจึงเน้นให้ความสำคัญกับการทำความสะอาดผิวอยู่เสมอเมื่อกลับมาถึงที่พัก อย่างผิวหน้าแพมเลือกใช้ แอสทริงเจนท์ คลีนซิ่ง วอเตอร์ สำหรับเช็ดทำความสะอาดเครื่องสำอางและสิ่งสกปรกตกค้างบนผิวได้อย่างสะอาดหมดจด และในระหว่างสัปดาห์ก็จะใช้ ดีท็อกซิฟายอิ้ง เคลย์ มาส์ก เพื่อดีท๊อกซ์ผิวจากสิ่งสกปรกตกค้างและความมันส่วนเกิน ข้อดีของมาส์กตัวนี้คือไม่ทำให้ผิวแพมแห้ง เพราะมีส่วนผสมของน้ำมันรำข้าวและสารสกัดธรรมชาติที่ช่วยคงความชุ่มชื้นให้ผิวได้เป็นอย่างดี ส่วนกิจกรรมที่ทำบ่อยๆ ช่วงที่มีค่าฝุ่น PM 2.5 มากก็จะเป็นการเล่นบอร์ดเกมที่มีทั้งเกมประเภทวางแผนหรือเกมที่สามารถเล่นได้กับครอบครัว ถือเป็นการใช้เวลาว่างโดยไม่ต้องออกไปเจอมลภาวะข้างนอกด้วย”

 

ทางด้านสาวผิวสวย ชมพูนุท โรจน์ศิริรัตน์ กล่าวว่า “ช่วงเปลี่ยนผ่านฤดูเรามักพบเจอกับปัญหามลภาวะและปริมาณฝุ่น PM 2.5 เกินค่ามาตรฐาน นอกจากเราต้องป้องกันตัวเองด้วยการสวมใส่หน้ากากอนามัยทุกครั้งที่ต้องออกนอกสถานที่แล้ว อีกสิ่งที่ต้องคำนึงถึงคือการลดเวลาทำกิจกรรมกลางแจ้งในช่วงที่มีค่าฝุ่น PM 2.5 สูงด้วย แต่หากหลีกเลี่ยงไม่ได้สิ่งแรกเมื่อกับถึงบ้านคือควรรีบล้างทำความสะอปัาดผิวทันที ซึ่งจะเน้นเรื่องการทำความสะอาดผิวหน้ามากที่สุด ส่วนตัวจะเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสารสกัดธรรมชาติที่มีคุณสมบัติในการทำความสะอาดและบำรุงผิว โดยจะแบ่งประเภทของผลิตภัณฑ์ให้เหมาะกับการใช้งาน ตัวอย่างเช่นวันไหนที่ไม่ต้องแต่งหน้าก็จะเลือกใช้ เพียวริฟายอิ้ง เฟซ วอช ล้างทำความสะอาดผิวหน้า หากวันไหนที่แต่งหน้าก็จะเลือกใช้ แอสทริงเจนท์ คลีนซิ่ง วอเตอร์ เช็ดทำความสะอาดเครื่องสำอาง ตามด้วยการใช้ แอสตริเจนต์ โทนเนอร์ เช็ดสิ่งสกปรกตกค้างที่อาจหลงเหลืออยู่ และเป็นการปรับสภาพผิวให้พร้อมสำหรับรับขั้นตอนการบำรุงต่อไปด้วย นอกจากนี้โบว์ก็จะหาเวลามาส์กหน้าด้วย ดีท็อกซิฟายอิ้ง เคลย์ มาส์ก เพื่อดีท๊อกซ์ผิวสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง โบว์คิดว่าหากผิวเราแข็งแรง หากต้องเผชิญกับมลภาวะหรือฝุ่น PM 2.5 เยอะแค่ไหน ผิวก็ยังคงสวยดูมีสุขภาพดีได้”

ABOUT THE AUTHOR
HBKK

HBKK

Live Every Day

ALL POSTS