HAPPENING BKK
NLINE MAGAZINE
×
ภาพไม่ตรงปก ที่กรุงโลเม่
by โลจน์ นันทิวัชรินทร์
6 ก.พ. 2563, 17:43
  2,223 views

        เคยประสบเหตุการณ์ ภาพไม่ตรงปก ระหว่างเดินทางบ้างไหมครับ? ผมเคยครับ แล้วเป็นเหตุการณ์ที่ระทึกสุด ๆ เสียด้วย เรียกว่าต้องหนีเอาชีวิตรอดกันเลยทีเดียว ถ้าให้อธิบายคำว่าภาพไม่ตรงปกแบบกระชับที่สุดก็คือสิ่งที่เห็น หรือสิ่งที่พบเจอตามจริงนั้น ไม่ตรงกับจินตนาการที่มีมาก่อน เดี๋ยวผมจะเล่าให้ฟังครับ

        ตอนที่ผมเดินทางไปเที่ยวแอฟริกาตะวันตกกับพี่ ๆ น้อง ๆ นั้น จุดหมายหนึ่งที่เราเดินทางไปก็คือกรุงโลเม่ (Lomé) เมืองหลวงของประเทศโตโก ประเทศเล็ก ๆ ที่เคยเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศสที่เพิ่งได้รับเอกราชในช่วงคริศตศักราชที่ 1960 และโลเม่ก็รับสมญานามว่าเป็น “ปารีสแห่งแอฟริกาตะวันตก” ความที่อะไร ๆ ก็แสนจะฝรั่งเซ้ดฝรั่งเศส

        ผมกับพี่ ๆ น้อง ๆ เลือกเดินทางโดยบริษัทนำเที่ยวและในกำหนดการเดินทางที่เขาส่งให้ผมกับพี่ ๆ น้อง ๆ ได้อ่านนั้นระบุไว้อย่างเก๋ไก๋ชวนเคลิ้มว่า

        “เมื่อท่านเดินทางถึงกรุงโลเม่ ในตอนตอนบ่าย นำท่านทัศนาชายหาดอันสวยงามของนครที่ได้รับสมญานามว่าปารีสแห่งแอฟริกาตะวันตกแห่งนี้ ชมมหาสมุทรแอตแลนติกพร้อมรับโอโซนอันสดชื่น นำท่านเยือนหมู่บ้านชาวประมงอันเป็นแหล่งเศรษฐกิจสำคัญของประเทศโตโก ท่านจะได้พบชาวประมงที่เป็นมิตรกำลังช่วยกันลากอวนอันเต็มไปด้วยปลาทะเลนานาพันธุ์ หากท่านนึกสนุกก็สามารถร่วมช่วยลากอวนกับพวกเขาได้ ก่อนเดินเล่นเยี่ยมชมหมู่บ้านชาวประมงที่แสนอบอุ่นก่อนและโบกมือลาด้วยความประทับใจ

        โห.... อ่านแล้วใจเต้นแรง อยากไป อยากไป อยากไป...

ภาพหมู่บ้านชาวประมงในโลเม่ ที่คิด : เครดิตภาพ www.exploring-africa.com

        ผมแอบหลับตาเห็นหาดสะอาดสวยงามริมมหาสมุทรกว้าง ลมทะเลพัดแรง ชาวบ้านและชาวประมงแสนขยันช่วยกันลากอวนโดยมีผมไปร่วมกับพวกเขา ฮุยเลฮุย... ฮุยเลฮุย.... พวกเราหัวเราะกันกิ๊กกั๊กด้วยมิตรภาพอันแสนสวยงาม ก่อนจะจากกันด้วยรอยยิ้มพร้อมภาพถ่ายสวยงามหลายรูป แชะ...แชะ... แชะ....

        บ่ายวันนั้นเราเดินทางจากเมืองปาลีเม่ (Kpalimé) มาถึงโลเม่ในช่วงบ่าย โลเม่ดูเป็นเมืองหลวงขนาดย่อมและ (แอบ) เป็นปารีสแห่งแอฟริกาตะวันตกจริง ๆ เพราะเต็มไปด้วยอาคารสวยงามแบบยุโรป แม้จะไม่ใหญ่โตอลังการแบบที่เห็นในปารีส แต่ก็เป็นอาคารสวยขนาดกำลังกะทัดรัดและน่ารัก

        ตัวอักษรตามป้ายต่าง ๆ นานานั้นล้วนเป็นภาษาฝรั่งเศสทั้งหมด แม้แต่แบบตัวอักษร (ฟอนท์) ที่ใช้นั้น ก็เป็นแบบเดียวกันกับที่ใช้ในปารีส เสียงภาษาฝรั่งเศสดังขึ้นอยู่รอบ ๆ ตัวแม้ว่าสำนวนจะผิดกันไปบ้างแต่ก็ให้บรรยากาศทีเดียว ผู้คนทักทาย “Bonjour. Ça va?” พร้อมกับเอียงแก้มให้จูบกันฟอด ๆ แบบชาวปารีเซียน

         เสียดายที่อาคารต่าง ๆ เหล่านั้นทรุดโทรมลงอย่างน่าใจหาย ถนนก็ดีบ้างไม่ดีบ้าง ขยะมูลฝอยมีเป็นหย่อม ๆ ผมคิดว่าโลเม่น่าจะเคยเป็นเมืองที่เจริญและสวยงามมาก่อนที่จะมีสภาพอย่างที่เห็นด้วยพิษภัยทางเศรษฐกิจและการเมือง

        แน่นอนว่าเรารีบตรงไปยังหมู่บ้านชาวประมงริมมหาสมุทรแอตแลนติกอันแสนสวยงามตามบทพรรณนาในกำหนดการเดินทางของวันนั้น พวกเราหันมายิ้มให้กันและเตรียมกล้องให้พร้อมเพื่อเตรียมบันทึกภาพประสบการณ์อันแสนวิเศษในหมู่บ้านที่เรากำลังเดินทางไปอยู่ขณะนี้

ภาพที่คิด "ชาวประมงในโลเม่" เครดิตภาพ  ภาพจาก www.domdieterle.net

        แต่พอไปถึง พวกเราเกือบไม่รอดออกมาจากตรงนั้น และมันเป็นย่านที่ระทึกขวัญอันตรายสุด

        ก่อนไปถึงหมู่บ้าน ลุงตีตี้ (Teetee) ขับรถตู้พาผมและพี่ ๆ น้อง ๆ อีกสี่ชีวิตจากเมืองไทยออกมาจากตัวเมือง เลาะไปในหมู่บ้านริมทะเลย่านชานเมืองโลเม่ เข้าสู่ย่านที่ดูโทรมสุด ๆ จากถนนลาดยางอย่างดีก็เริ่มกลายเป็นถนนดินแห้ง ๆ แดง ๆ ฝุ่นคละคลุ้ง บ้านเรือนสังกะสีผุ ๆ พัง ๆ อัดแน่นขนานไปกับถนนสายเล็ก เราพอมองเห็นทะเลได้บ้างเวลามองลอดช่องว่างระหว่างบ้านแต่ละหลัง

        ความจริงความโทรมระดับนี้เป็นภาพที่ชินตาพวกเราพอสมควรหลังจากที่เราท่องเที่ยวในแถบแอฟริกาตะวันตกมาหลายวัน อย่างในประเทศอย่างเบนินที่เราผ่านมา หรือแม้แต่ในประเทศโตโกในเมืองอื่น ๆ เอง เราก็เคยพบทัศนียภาพเช่นนี้  ดังนั้นเราเลยเฉย ๆ

        เมื่อรถจอด ลุงโคฟี่ (Kofi) ไกด์ของเราก็บอกว่า ถึงหมู่บ้านประมงแล้ว ลงมาได้เลย

        ตอนนั้นน้ำเสียงลุงยังแจ่มใสและกระตือรือร้น เราสี่คนลงมาจากรถตรงหมู่บ้านแสนโทรมนั้นและกลิ่นแรกที่เราสูดเข้าไปเต็ม ๆ ปอดนั้นหาใช่กลิ่นโอโซนทะเลอันแสนสดชื่นไม่ แต่มันคือกลิ่นกัญชาที่อันอึงอวลอยู่รอบตัว เราเริ่มมองตากันว่า ที่นี่แน่หรือ?”

        ขณะที่เดินตามลุงโคฟี่ไปเรื่อย ๆ นั้น เราพบว่าชาวบ้านไม่ได้มีท่าทีที่เป็นมิตรกับเราเลย พวกเขาดูมึนและเมามาก ๆ ตาลอย ๆ เหม่อ ๆ และก็มีมากมายที่จ้องพวกเราอย่างเอาเป็นเอาตาย และเราสี่คนก็สบตากันและกันอีกครั้งว่า ที่นี่แน่หรือ?

        “ที่นี่แน่หรือ?” คราวนี้เราถามลุงโคฟี่ออกไปจริง ๆ แล้วคราวนี้ และลุงก็ยืนยันว่า ใช่ พร้อมกับเดินนำเรามุ่งหน้าต่อไป

        ลุงตีตี้ตัดสินใจอยู่เฝ้ารถตู้ เพราะเรายังไม่ได้เข้าโรงแรมกันเลย หลังรถจึงเต็มไปด้วยกระเป๋าเดินทางของทุกคน ดังนั้นจึงมีลุงโคฟี่เพียงคนเดียวที่นำเราสี่คนเดินลึกเข้าไปในหมู่บ้าน

      กลิ่นกัญชาทวีความรุนแรงขึ้นพร้อมกับเสียงเพลงแร็ปแอฟริกันดังมาจากลำโพงกึกก้อง ชาวบ้านที่เป็นมิตร ดูไม่เป็นมิตรเอาเสียเลย ทุกคนดูเมาเหล้าเมายา เดินเซไปมา พูดจาเสียงโหวกเหวกดังลั่น มีวงพนันเป็นหย่อม ๆ แทบทั้งหมดเป็นชายผิวสีร่างใหญ่กำยำกล้ามเป็นมัด ขณะที่ผมเดินตามลุงโคฟี่ไปนั้นผมสังเกตแววตาของพวกเขา มันคือสายตาของผู้ที่กำลังมองเหยื่อมากกว่า

        ไม่นานเราก็เดินทะลุหมู่บ้านมาที่หาดริมมหาสมุทรแอตแลนติก ไม่มีเรือประมง ไม่มีชาวประมงลากอวน แม้ว่าน้ำทะเลจะสีเขียวเหลือบครามสวยใสแต่หาดนั้นสกปรกมาก ๆ และเราสี่คนก็หันมามองหน้ากันพร้อมกับหันไปที่ลุงโคฟี่และบอกว่า กลับไปขึ้นรถเดี๋ยวนี้ ที่นี่อันตรายมาก รีบไปกันเดี๋ยวนี้เลย แล้วเราก็รีบจ้ำออกจากหาดเพื่อกลับไปที่รถทันที

        ผมขอตัดภาพมาที่ลุงตีตี้ คนขับรถตู้ของเราที่อาสาอยู่เฝ้ารถ ลุงเล่าให้เราฟังว่าวินาทีที่ลุงโคฟี่ออกเดินนำเราไปยังหมู่บ้านและชายหาด มีผู้หญิงชาวโตโกคนหนึ่งวิ่งออกจากร้านชำที่เธอขายของอยู่เพื่อมาหาลุงตีตี้ทันที และบอกลุงเป็นภาษาฝรั่งเศสว่ากลับออกไปเดี๋ยวนี้ ที่นี่อันตรายมาก มีแต่คนติดยา คนเมายา.... โจรทั้งนั้น รีบวิ่งไปตามพวกเขามาเร็ว

        ขณะที่ลุงกำลังละล้าละลังว่าจะทำอย่างไร เพราะลุงรู้ว่าถ้าลุงทิ้งรถไป รถจะโดนทุบเอาของออกไปแน่ ๆ ลุงพยายามตะโกนเรียกพวกเราด้วยภาษาอังกฤษ แต่เสียงเพลงดังมากจนเราไม่ได้ยินเสียงลุงเลย และขณะที่ลุงกำลังคิดว่าจะทำอย่างไรต่อไป เราสี่คนและลุงโคฟี่ก็เดินจ้ำหน้าตื่นกลับมาทันที และเราทั้งสี่คนก็ไม่ได้ถ่ายภาพอะไรกันเลย แค่คิดจะหยิบกล้องออกมาก็ไม่กล้าแล้ว เราใช้เวลาที่หมู่บ้านนรกนี้ไม่ถึง 5 นาที แต่เป็น 5 นาทีที่เสี่ยงมาก ๆ พอมาถึงรถตู้ พวกเราก็รีบโดดขึ้นรถอย่างว่องไว และลุงตีตี้ก็เหยียบคันเร่งพาเราออกจากหมู่บ้านสุดโทรมนั้นทันที

        บ่ายนั้นยังมีกำหนดการที่เขียนไว้อย่างสวยหรูว่า หลังจากเก็บความประทับใจจากหมู่บ้านชาวประมงแล้ว เราจะพาท่านกลับมายังกรุงโลเม่เพื่อเดินชมตลาดใหญ่ (Le Grand Marché – เลอ กร็องด์ มารคเช่) สัมผัสเสน่ห์ของตลาดอันมีชีวิตชีวาแห่งนี้ด้วยความประทับใจ

       

ตลาดหน้าวิหาร สิ่งที่คิด ภาพจาก www.travelmagma.com และ ตลาดร้าง [ล่าง]

ไม่เป็นไร บ่ายนี้ยังมีความหวัง ผมแอบเห็นภาพตลาดแอฟริกันที่สนุกคึกคักเต็มไปด้วยผู้คนแบบที่ผมชอบ และรายการนี้น่าจะทดแทนเหตุการณ์สยองเมื่อสักครู่ได้

        รถตู้บ่ายหน้าสู่กรุงโลเม่ โดยปล่อยเราไว้ที่ถนนสายหลักของเมืองที่ทอดยาวไปสู่วิหารหัวใจศักด์สิทธิ์แห่งโลเม่ (La Cathédrale Sacré-Coeur de Jésus de Lomé) ซึ่งน่าจะมีแผงขายข้าวของมากมายไม่ว่าอาหารสด ผัก ผลไม้หลากสีสัน ผ้ากาปูลาน่าสีเจ็บ ๆ ลวดลายกราฟฟิกแบบแอฟริกัน ผู้คนเดินกันขวักไขว่ แต่ปรากฏว่ามันกลับเงียบเหงามาก ๆ เพราะเหลือแผงไม่กี่แผงที่เปิดอย่างหงอย ๆ บนถนนโล่ง ๆ

 La cathédrale Sacré-Coeur de Jésus de Lomé

        ยังดีที่ประตูวิหารยังปิดอยู่ให้เราได้เดินเข้าไปสักการะพระเจ้าและชื่นชมกับความงามของวิหารสำคัญของโลเม่แห่งนี้ วิหารนี้เป็นวิหารที่สร้างขึ้นโดนใช้เวลาหนึ่งปีโดยเริ่มสร้างเมื่อเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1901 และสำเร็จลงในเดือนกันยายน ค.ศ. 1902 โดยสมเด็จพระสันตะปาปา จอห์น ปอล ที่สองเคยเสด็จเยือนเพื่อทรงประกอบพิธีมิสซาใหญ่เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม .. 1985

        พวกผมแยกย้ายกันเดินซึมซับความงามกันเงียบ ๆ และต่างคนต่างนั่งทำใจร่ม ๆ อธิษฐานกันอยู่ในใจ ผมไม่ทราบว่าพี่ ๆ น้อง ๆ ผมจะอธิษฐานอะไรกันบ้าง แต่ผมใช้เวลาอธิษฐานขอบคุณพระผู้เป็นเจ้าที่พวกเราผ่านพ้นเหตุการณ์ร้าย ๆ ไปได้โดยไม่มีใครเป็นอะไร ขอบคุณที่สัญชาตญาณของเราที่ยังอ่านสถานการณ์ได้ดี ก่อให้เกิดการตัดสินใจที่ถูกต้อง และเผ่นหนีออกมาได้อย่างรวดเร็ว ไม่ได้เอ้อระเหยที่หมู่บ้านประมงนั้นนานกว่านี้

        บ่ายแก่ ๆ วันนั้นเรากลับเข้าโรงแรมทันที เลิกคิดที่จะออกไปไหนต่อไหน เราอยากชิล ๆ อยู่ในสระว่ายน้ำกันดีกว่า

        คืนนั้นผมเขียน email ไปที่บริษัทท่องเที่ยวทันที เพื่อสอบถามถึงเหตุการณ์ภาพไม่ตรงปกที่เกิดขึ้นกับเรา โดยเฉพาะที่หมู่บ้านประมงแห่งนั้น  และผมก็ได้รับคำอธิบายว่ามันคือหมู่บ้านประมงชานกรุงโลเม่ที่เขาตั้งใจจะพาพวกผมมาจริง ๆ เมื่อปีก่อน ๆ เขายังพานักท่องเที่ยวมาที่นี่และทุกอย่างยังเป็นปกติ ไม่มีอะไรตื่นเต้นเช่นนี้เลย อาจเป็นไปได้ว่าวันนี้เป็นวันหยุด และไม่มีใครออกหาปลา ทุกคนเลยฉลองด้วยเหล้ายากันอย่างเอิกเกริก

อ้าว... วันนี้วันหยุดเหรอ มิน่าล่ะ เงียบเชียว

 

ABOUT THE AUTHOR
โลจน์ นันทิวัชรินทร์

โลจน์ นันทิวัชรินทร์

หนุ่มเอเจนซี่โฆษณาผู้มีปรัชญาชีวิตว่า "ทำมาหาเที่ยว" เพราะเรื่องเที่ยวมาก่อนเรื่องกินเสมอ ชอบไปประเทศนอกแผนที่ที่ไม่มีใครอยากไปเลยต้องเต็มใจเป็น solo backpacker

ALL POSTS