มุมเมืองน่าเที่ยว เปียงยางอย่าง.....
เที่ยวเปียงยาง เกาหลีเหนือ ที่มีทั้งมุมหวาน มุมขลัง และมุมอลังการ
1. เปียงยางอย่าง....ลุ้น
เอกสารสิบกว่าหน้าที่บริษัทโคเรียว ทัวร์ส่งมาให้เป็นไฟล์ PDF ยังเปิดค้างไว้ในมือถือ ผมพยายามใช้สติทบทวนข้อมูลสำคัญที่ได้รับมาทั้งหมดในวันนี้ ไม่ว่าจากตัวอักษรหลายพันตัวที่เรียงรายอยู่ตรงหน้าหรือจากการประชุมคณะนักท่องเที่ยวหลากสัญชาติที่จะร่วมเดินทางจากกรุงปักกิ่งสู่กรุงเปียงยางพร้อมกับผมในวันรุ่งขึ้น
สาธารณรัฐประชาชนประชาธิปไตยเกาหลี เรียกย่อ ๆ ว่า DPRK มาจาก Democratic People’s Republic of Korea เป็นดินแดนลี้ลับและมีกฏกติกามารยาทมากมายที่นักท่องเที่ยวต้องปฏิบัติให้ถูกต้อง และกฏข้อที่หนึ่งคือ อย่าเรียกมาตุภูมิแห่งนี้ของเขาว่า “เกาหลีเหนือ” จงเรียกว่า DPRK เพราะสำหรับเขานั้นเกาหลีมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น
วันรุ่งขึ้นสายการบิน Air Koryo ผมเดินทางมาถึงสนามบินนานาชาติแห่งกรุงเปียงยางในตอนสาย สิ่งที่ผมแอบกังวลคือการผ่านด่านอันระทึกใจของที่นี่ เมื่อวานนี้ผมนั่งลบรูปทั้งหมดที่เก็บไว้ในมือถือเพื่อทิ้งเครื่องไว้ให้ว่างเปล่า คู่มือของโคเรียว ทัวร์ แนะนำว่ารูปโป๊เปลือยหรือรูปอันเกี่ยวเนื่องกับพิธีกรรมทางศาสนาใด ๆ ก็ตามถือเป็นเรื่องผิดกฏหมายและจะมีโทษขั้นรุนแรง ถึงแม้ผมจะมั่นใจมาก ๆ ว่าผมไม่เคยมีรูปที่สุ่มเสี่ยงใด ๆ แต่ผมก็เลือกที่จะลบให้หมดดีกว่า
หนังสือก็เช่นกัน หนังสือที่มีเนื้อหาเกียวกับกับ “ดินแดนทางใต้” ไม่ว่าเรื่องใด ๆ ก็ตามถือเป็นสิ่งต้องห้าม เช่นเดียวกับศาสนาหรือความเชื่ออันเป็นปฏิปักษ์ต่อลัทธิสังคมนิยมเบ็ดเสร็จ ก่อนลงเครื่องเราต้องกรอกเอกสารเพื่อแจ้งต่อเจ้าหน้าที่ว่าเราเอาหนังสือมากี่เล่มและเตรียมแสดงให้เจ้าหน้าที่ดูด้วย
เมื่อมาถึงด่าน ผมยื่นโทรศัพท์มือถือให้เจ้าหน้าที่ เขานำมันไปพิจารณาและจดแบรนด์ และรุ่นอยู่ยุกยิกก่อนจะคืนกลับมาภายในเวลากี่วินาทีโดยไม่ได้เปิดดูภาพใน Album เลย ส่วนหนังสือนั้น เจ้าหน้าที่ก็ขอดูหนังสือผมจริง ๆ โดยพลิกไปมา และปล่อยผ่านไปในที่สุด
แต่....ผมทำงานบริษัทโฆษณาและการสร้างแบรนด์ที่ดันมีชื่อว่า SWAT อันเป็นเหมือนชื่อหน่วยจู่โจมพิเศษ และตำแหน่งผมคือ Strategic Chief หรือหัวหน้าผู้วางแผนกลยุทธ์ และผมต้องกรอกข้อมูลเหล่านี้ลงไปในเอกสารขาเข้าประเทศด้วย
และเมื่อผมยื่นหนังสือเดินทางและเอกสารดังกล่าวไป เจ้าหน้าเงยหน้าและรัวคำถามใส่ผมทันที
“เกี่ยวข้องอะไรกับ SWAT?”
“คุณเป็นผู้กำหนดกลยุทธ์... แปลว่าอะไร จงอธิบายมาพอสังเขป”
“อะไรคือความหมายชอง Branding?”
“โฆษณาเป็นอย่างไร? เกี่ยวกับอะไร?”
การอธิบายเรื่องที่อยู่ในโลกของทุนนิยมล้วน ๆ ให้ผู้ที่อยู่ในระบอบสังคมนิยมเบ็ดเสร็จเข้าใจนี่ไม่ง่ายเลยนะครับ และผมก็ค้นพบว่าประชาชนของเขาไม่มีพื้นฐานเรื่องนี้อย่างจริงจัง แต่ในที่สุดผมก็พอจะอธิบายให้เชื่อได้ว่าผมไม่ได้เกี่ยวพันอะไรกับหน่วย SWAT และผมเป็นสุจริตชนที่ทำมาหากินในวงการโฆษณา ไม่ได้สืบราชการลับหรือชิงตัวประกันใด ๆ
“งั้น ตกลงนี่คุณเป็นสื่อมวลชนใช่ไหม? จะมาทำรายการโทรทัศน์อะไรที่นี่หรือเปล่า? สื่อมวลชนเดินทางเข้าประเทศอย่างนักท่องเที่ยวไม่ได้นะ” คุณพี่ ต.ม. เปิดประเด็นใหม่
“ไม่ใช่ครับ.... ไม่ใช่คร้าบ” แม้อุณหภูมิที่เปียงยางจะอยู่ที่ 4 องศา แต่ว่าหลังผมนี่เหงื่อชุ่มเลยนะครับ
2. เปียงยางอย่าง.....หวาน เนี้ยบ เฉียบ กริบ
เมื่อเอ่ยคำว่ากรุงเปียงยางนั้น ไม่ทราบว่าแต่ละคนจินตนาการถึงเมืองนี้ไว้อย่างไรกันบ้างครับ? จะตกใจไหมถ้าผมจะบอกว่ากรุงเปียงยางนั้น “หวาน” มาก ๆ
อาคารสี่เหลี่ยมที่ตั้งเรียงรายอยู่เป็นบล็อก ๆ นั้นเป็นทั้งอาคารพาณิชย์และอาคารที่พักอาศัยของชาวเมืองที่ดูทะมึนแบบที่พบเห็นได้ทั่วไปในประเทศสังคมนิยม แต่สีที่ฉาบอาคารเหล่านี้นั้นกลับเป็นสีปาสเทลหวาน ๆ อย่างเหลืองอ่อน โอลด์โรส เขียวอ่อน ฟ้าอ่อน ฯลฯ อันสารพัดจะอ่อนโยนและอ่อนหวาน อาจมีตัดด้วยอาคารสีอิฐ และน้ำตาลซีเปีย หรือเขียวเข้มพอให้แก้หวานกันได้บ้าง
นอกจากรสหวานแล้ว บางครั้งกรุงเปียงยางยังแอบเพิ่มรสจี๊ดให้เราได้ซี้ดซ้าดกับอาคารทรงแปลกไม่ว่าจะเป็นอาคารทรงสามเหลี่ยมที่สูงตระหง่านราวกับพีระมิด หรืออาคารที่โค้งมนไล่เลี้ยวเป็นเกลียวคลื่น หรืออาคารที่ดูเหมือนรูบิคที่หมุนค้างไว้ให้เหลี่ยมกับเหลี่ยมมันเกยกัน และมีอีกมากมายที่สไตล์มันแสนจะอาว็องต์-การ์ดเสียจนทำให้ต้องร้องว่า “เฮ้ย.... เจ๋งว่ะ”
ท้องถนนที่นี่สะอาดชนิดกริบ นั่นคือไม่มีแม้แต่เศษกระดาษสักชิ้นหล่นบนพื้น ไม่มีกองขยะให้เห็นสักกอง มันสะอาดกว่าเมืองไหน ๆ ในโลกที่ผมเคยไปเยือน และผมก็เชื่อว่าเมืองกริบอย่างสิงคโปร์คงจะแอบมีอายกันบ้างเมื่อมาเห็นเมืองเนี้ยบอย่างเปียงยาง....มันเนี้ยบเสียจนจนบางครั้งผมก็ลังเลว่าผมกำลังอยู่ที่ไหน
สิ่งที่ยืนยันว่าผมยังอยู่ใน DPRK คือรูป “ท่านผู้นำที่ยิ่งใหญ่” และ “ท่านผู้นำอันเป็นที่รัก” ที่ส่งสายตาทักทายผมมาจากทุกมุมเมืองแม้ว่าท่านจะวายชนม์ไปนานแล้ว
3. เปียงยางอย่าง.... อลัง
จุดที่สร้างความตื่นตะลึงให้ผมมากที่สุดคือลานกลางกรุงเปียงยางอันเป็นที่ตั้งอนุสาวรีย์ของท่านผู้นำทั้งสองท่าน นั่นคือท่านผู้นำอันยิ่งใหญ่ (The Great Leader) นายคิม อิล ซุง และท่านผู้นำอันเป็นที่รัก (The Dear Leader) นายคิม จอง อิล ผู้เป็นปู่และพ่อของท่านผู้นำสูงสุด (The Supreme Leader) นายคิม จอง อึน ประธานาธิบดีคนปัจจุบัน
กฏข้อสำคัญอีกอย่างคือห้ามถ่ายภาพโดยแสดงกิริยาไม่เหมาะสม ต้องถ่ายภาพให้เห็นท่านเต็มตัว และท่านต้องเป็นประธานของภาพด้วย
ไม่ใช่แค่ขนาดอันใหญ่โตอลังการแต่บรรยากาศอันสงบงาม และขรึมขลังประหนึ่งว่าเรากำลังอยู่ในพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ แม้ว่าบริเวณนี้จะมีผู้คนมารวมตัวกันมากมายอย่างต่อเนื่องเพื่อน้อมคารวะท่านผู้นำที่ล่วงลับไปแล้ว แต่เชื่อหรือไม่ว่าที่นี่กลับเงียบกริบมาก ๆ เราจะได้ยินเฉพาะเสียงรองเท้าที่เดินอย่างพร้อมเพรียงของประชาชนที่เดินแถวมาอย่างเป็นระเบียบ หรือไม่ก็เสียงเพลงอ่อนโยนที่เปิดคลอเบา ๆ เป็นระยะเท่านั้น
“กรุณาแต่งกายให้เรียบร้อย ควรงดกางเกงยีนส์ อยู่ในอาการสำรวม และแสดงออกด้วยความเคารพอย่างจริงใจต่อท่านทั้งสองนะครับ” มิสเตอร์จิน ไกด์ประจำกลุ่มเราบอกซ้ำแล้วซ้ำอีกเพื่อให้เราปฏิบัติตนให้ถูกต้องในวันที่เราเดินทางไปคารวะท่านที่ลานสุดอลังการนี้
“บริเวณนั้นจะมีประชาชนชาวเกาหลีมาคารวะท่านตลอดเวลา และทุกคนจะมองพวกคุณอยู่ You will be watched, carefully watched ขอให้ร่วมกันปฏิบัติอย่างถูกต้องด้วยนะครับ” มิสเตอร์จินย้ำให้เราเตียมตัวเตรียมใจในวันสำคัญ
เอ่อ....สารภาพว่าผมก็เครียดเอามาก ๆ เลยนะครับ ผมกลัวว่าผมอาจจะเดินสะดุดคว่ำลงไป หรือไม่ก็จามฟืดออกมาเพราะอากาศหนาวและผมก็เริ่มมีอาการหวัดอ่อน ๆ หรือผมอาจจะทำอะไรกระโดกกระเดกไปโดยไม่รู้ตัว
วันนั้นผมใส่แสล็คและเสื้อเชิ้ตเรียบร้อย คณะของเราแวะที่ซุ้มดอกไม้เพื่อซื้อดอกไม้ช่อใหญ่มาสองช่อและมอบหมายให้ตัวแทนกลุ่มชายหญิงอย่างละหนึ่งเป็นผู้นำไปวางที่ฐานอนุสาวรีย์ของท่านผู้นำทั้งสอง ที่ลานมีพี่ ๆ น้อง ๆ ชาวเกาหลีมากันมากมาย ทุกคนอยู่ในชุดสวยงาม ผู้ชายส่วนมากสวมสูท ผู้หญิงอยู่ในชุดประจำชาติหรือไม่ก็สวมกระโปรงและใส่สูทเรียบร้อย พวกเขาเข้าแถวเรียงหน้ากระดานอย่างเป็นระเบียบสวยงามต่อกันไปหลายแถว
เมื่อเราไปถึง ผมนึกว่าเราจะไปต่อแถวพวกเขา แต่พวกเรากลับโดนต้อนให้มายืนอยู่หน้าสุด และจะคารวะท่านเป็นคณะแรกต่อหน้าพี่ ๆ น้อง ๆ ชาว DPRK ที่มารวมกันอยู่ที่นั่น
“You will be watched” ประโยคนี้เข้ามาอยู่ในหัวผมทันที และผมต้องทำตัวดี ๆ และคารวะท่านให้เรียบร้อยอย่างจริงใจ
ก่อนคารวะ มีการเปิดเพลงทำนองเศร้า ๆ สงบ ๆ ดังขึ้นในขณะที่พวกเรายืนนิ่งก่อนที่จะโค้งคำนับครั้งที่หนึ่ง จากนั้นเมื่อตัวแทนวางช่อดอกไม้แล้ว เราจะต้องคารวะครั้งที่สอง ก่อนถอยออกมา และทำขวาหันเพื่อเคลื่อนแถวออกไปด้านข้างเพื่อให้แถวอื่น ๆ ร่นขึ้นมาแล้วทำเช่นเดียวกัน
ถึงแม้ท่านผู้นำทั้งคู่จะวายชนม์ไปหลายปีแล้ว แต่ยังมีประชาชนชาวเกาหลีมาคารวะท่านเป็นหมู่คณะเสมอทุกวี่ทุกวัน
“คุณเลือกได้ว่าจะไม่ลงไปคารวะท่าน ถ้าไม่ไปก็ขอให้รออยู่บนรถ” มิสเตอร์จินบอกไว้
“แต่ถ้าเลือกลงไป ก็ขอให้ทำอย่างจริงใจ” เขาสำทับอีกครั้งและคณะเราทั้งหมดทุกคนก็ล้วนลงไปร่วมพิธีสำคัญนี้ ไม่ว่าแต่ละคนจะมีความคิดเห็นต่อท่านผู้นำอย่างไร ผมขอให้เป็นเรื่องส่วนตัว แต่ผมเชื่อว่าทุกคนจะสัมผัสได้ว่าลานแห่งนี้เป็นลานศักดิ์สิทธ์ของกรุงเปียงยาง
4. เปียงยางอย่าง.....ว้าว
สิ่งที่ทำให้ผมร้อง “ว้าว” ออกมาดัง ๆ มีสองอย่างครับ อย่างแรกคือรถใต้ดินซึ่งนักท่องเที่ยวอย่างเราจะได้รับอนุญาตให้นั่งไปกลับได้เพียง 2 สถานีเพื่อชื่นชมระบบคมนาคมอันสุดหรูของเมืองนี้ บันไดเลื่อนที่ดิ่งลึกลงเรื่อย ๆ เรื่อย ๆ แบบไม่จบไม่สิ้นได้พาผมลงไปหลายร้อยฟุตใต้พื้นดิน ผมคิดว่าสถานีรถไฟใต้ดินของที่นี่น่าจะลึกที่สุดในโลก และเมื่อผมโผล่ออกไปที่โถงชานชาลาก็ต้องอ้าปากค้าง
แชนเดอเลียร์ และโคมไฟระย้าที่แขวนตกแต่งเพดานนั้นทำให้ผมรู้สึกว่ากำลังก้าวเข้าไปสู่โรงอุปรากร ภาพเขียนหรือภาพโมเสกใช้สีสันสดใสช่วยย้อมให้บรรยากาศมีสีสันและชีวิตชีวา ส่วนมากเป็นภาพที่เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับคุณูปการของท่านผู้นำรวมทั้งความเสียสละของทหารหาญและวิญญูชนพรรคแรงงาน มีซุ้มหนังสือพิมพ์ตั้งเป็นหย่อม ๆ ให้พี่ ๆ น้อง ๆ ชาวเปียงยางแวะเวียนมาอ่านข่าวสำคัญของวันนั้น
ขบวนรถไฟใต้ดินทำด้วยเหล็กและไม้ดูคลาสสิค และแน่นอนว่ามีรูปท่านผู้นำทั้งสองประดับไว้ในทุกตู้โดยสาร แน่นอนว่าเราซึ่งเป็น ชาวต่างชาติถูกกวาดต้อนให้ไปรวมตัวกันในขบวนหนึ่งแยกออกจากชาวเมือง แม้ว่าเราจะไม่ได้อยู่ใกล้ ๆ กันกับพวกเขาแต่เราก็แอบส่งยิ้มให้กันเป็นระยะ ๆ
อีกสถานที่ที่ผมร้องว้าวออกมาก็คือภัตตาคารแห่งหนึ่งซึ่งตกแต่งอย่างวิจิตร ที่ว้าวกว่าการตกแต่งก็คือวงเกิร์ลกรุ๊ปแห่งกรุงเปียงยางที่เล่นดนตรีสดให้ฟัง พวกเธอเล่นกันเก่งมาก ๆ โดยเฉพาะไวโอลิน นอกจากบรรเลงแล้วยังร้องเพลงสดให้ฟังกันด้วยเสียงอันไพเราะพร้อมลูกคอแพรวพราว เพลงส่วนมากเป็นเพลงภาษาเกาหลีของชาว DPRK ที่ผมไม่รู้จัก แต่มีจังหวะสนุกสนานเร้าใจจนพวกเราแทบจะลืมทานข้าวเย็นมื้อนั้นกันไปเลยเพราะมัวแต่เพลินกับคอนเสิร์ตเกิร์ลกรุ๊ปมากความสามารถ เพลงสุดท้ายในคืนนั้นคือเพลงอารีรังที่คนทั่วโลกรู้จีกกันดี และเป็นเพลงที่ทุกคนแอบร้องคลอกันไม่ว่าฝรั่ง ไทย หรือชาติไหน ๆ
5. เปียงยางอย่าง.... ประทับใจ
หลังจากที่เที่ยวเล่นสนุกสนานไปมาในกรุงเปียงยางอยู่พักใหญ่ และแล้วก็มาถึงวันสำคัญที่ผมตั้งใจเดินทางมาที่นี่ นั่นคือการมาร่วมวิ่งเปียงยางมาราธอน
หนึ่งในข้อตกลงที่เรารับทราบก็คือ นักท่องเที่ยวอย่างเราจะไม่ได้รับอนุญาตให้มีปฏิสัมพันธ์กับชาวเมืองโดยเด็ดขาด ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็ตาม เราต้องถูกกีดกันให้อยู่รวมเฉพาะนักท่องเที่ยวด้วยกันเท่านั้น โดยมีไกด์สองคนคอยควบคุมความประพฤติของเราอย่างเข้มงวด การลงวิ่งเปียงยางมาราธอนจึงเป็นเพียงโอกาสเดียวที่ผมจะได้พบปะกับพี่ ๆ น้อง ๆ ชาวเปียงยางที่มายืนเรียงรายคอยให้กำลังใจนักวิ่งอย่างผมในขณะที่ผมใช้สองขาพาตัวเองทะยานไปตามท้องถนนสายต่าง ๆ ของกรุงเปียงยางในระยะ 10.5 กิโลเมตร
10.5 กิโลเมตรนี้ถือว่าเป็นระยะสำคัญที่ไกด์ของผมจะไม่ได้มาวิ่งด้วยเพราะเธอและเขาต้องคอยเฝ้ารอพวกผมอยู่ที่เส้นชัย ดังนั้นผมจึงตั้งใจว่าผมจะวิ่งไปและแปะมือไฮไฟวฟ์ไปกับชาวเมืองเปียงยางให้มากที่สุด
เมื่อเสียงปืนปล่อยตัวนักวิ่งดังขึ้น ผมรีบปฏิบัติการนั้นทันทีโดยพยายามวิ่งเลียบเข้าไปที่พี่ ๆ น้อง ๆ ชาวเปียงยางที่ยืนเรียงรายอยู่บนถนน ผมส่งยิ้มหวาน เข้าไปโค้งคำนับพร้อมกับกล่าวว่า “อันยองฮาชิมนิกะ” และยื่นมือออกไปเตรียมแปะไฮไฟวฟ์ด้วย
ผลตอบรับดีเกินคาด พี่ ๆ น้อง ๆ ชาวเปียงยางที่ดูเคร่งขรึมส่งยิ้มหวานตอบและยื่นมือออกมารอแปะมือกับผม ตลอดเส้นทางวิ่งทั้ง 10.5 กิโลเมตร ผมแปะมือกับชาวเปียงยางแทบทุกคน รอยยิ้มและเสียงเชียร์ของพวกเขาสร้างพลังวิ่งมหาศาลจนผมลืมเหนื่อยไปเลย ที่สำคัญก็คือผมลืมภาพพจน์เดิม ๆ ที่เคยมีต่อชาว DPRK ไปโดยสิ้นเชิง
ระยะสุดท้ายเมื่อผมวิ่งกลับมาเข้าเส้นชัยในสนามกีฬา คิม อิล ซุง กองเชียร์นับแสนกำลังรอผมและนักวิ่งจากทั่วโลกอยู่บนแสตนด์ เสียงเชียร์กระหึ่มของพวกเขาทำให้ผมขนลุกซู่และตื่นเต้น ก่อนที่ผมจะถลาเข้าเส้นชัยด้วยความรู้สึกที่บรรยายไม่ได้
สำหรับใครต่อใคร....ไม่ว่าเปียงยางจะเป็นอย่างไร แต่สำหรับผม เปียงยางคือเมืองหนึ่งที่ผมได้ประสบการณ์สุดพิเศษ เป็นเมืองที่ประเคนผมมาทุกอารมณ์ทั้งลุ้น ทั้งเครียด ทั้งเกร็ง ทั้งรัก ทั้งหลง.... และคงมีไม่กี่เมืองในโลกที่บรรเลงความรู้สึกได้มากมายขนาดนี้
PHOTO BY วีศิษฏ์ ธรรมธีโรวัฒน์
คู่รักที่ใช้วันลาพักร้อนจากงานประจำ ออกเดินทางด้วยตัวเองไปในสถานที่ที่ไม่เคยไป เป็นเวลากว่า 10 ปีมากกว่า 90 ประเทศทั่วโลก
FB page : Couple Backpacker คู่รักนักท่องโลก