ชม "วันปล่อยวิญญาณ" ที่อาจมองไม่เห็นแขกทุกคนที่มาร่วมงาน
สังเกตการณ์แบบขนลุกกับวันปล่อยวิญญาณในเทศกาลวูดูอันลือชื่อของเบนิน
วันนั้นเป็นวันที่เมืองอวีดาฮ์ไม่เป็นปกติดังเช่นที่เคยเป็น ชาวเมืองต่างรู้ดีว่าพลังงานเร้นลับที่มองไม่เห็นอันเรียกกันว่า “วิญญาณ” นั้น กำลังจะถูกปลดปล่อยให้มารวมร่างกันที่นี่ มันเป็นวันพิเศษที่จะเกิดขึ้นเพียงปีละครั้งและวันนั้นก็คือวันนี้อันเป็นวันที่ผมดันทะลึ่งพาตัวเองไปอยู่ร่วมเหตุการณ์เอาเสียด้วย
บรื๋อ....ก็ใครจะไปรู้ล่ะครับว่าจะมีวิญญาณออกมาเดินเพ่นพ่านไปไหนมาไหนกันให้ทั่วไปหมดชนิดที่ว่าบ่ายเจอแล้วเย็นก็ยังเจออีก แต่พอตกกลางคืน เหล่าวิญญาณทั้งหลายต่างพากันสลายร่างกลับไปพักผ่อนนอนหลับและปล่อยให้เมืองขนาดกลางดีกรีมรดกโลกแห่งนี้กลับสู่ความเงียบสงัดอีกครั้ง
อวีดาฮ์ (Ouidah) เป็นเมืองที่ตั้งอยู่ริมมหาสมุทรแอตแลนติกในดินแดนของสาธารณรัฐเบนิน (Republic of Benin) นอกจากจะเป็นเมืองตากอากาศยอดนิยมของภูมิภาคแอฟริกาตะวันตกแล้ว เมืองนี้ยังมีดีกรีเป็นดั่งเมืองหลวงของลัทธิวูดูอีกดวย จากข้อมูลทางประวัติศาสตร์ เชื่อกันว่าลัทธิวูดูถือกำเนิดขึ้นมาตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 13 ในพื้นที่นี้ก่อนจะเผยแผ่ขยายอาณาเขตคลอบคลุมไปทั่วภูมิภาคแอฟริกาตะวันตกรวมทั้งข้ามน้ำข้ามทะเลไปยัง “โลกใหม่” ในระหว่างการค้าทาสที่เรียกกันว่า Transatlantic Slave Trade ซึ่งกินเวลายาวนานกว่า 300 ปีระหว่างคริสศตวรรษที่ 16 – 19 จนลัทธิวูดูได้เข้าไปลงหลักปักฐานอย่างมั่นคงในหลาย ๆ ประเทศแถบนั้นอาทิเช่น ไฮติ (Haïti) รวมถึงเมืองนิวออร์ลีนส์ (New Orleans) ในสหรัฐอเมริกาด้วย แต่วูดูต้นตำรับฉบับออริจินัลนั้นต้องที่เมืองอวีดาฮ์ที่ผมกำลังเดินทางท่องเที่ยวอยู่ขณะนี้
ทุก ๆ ปี ราววันที่ 10 มกราคม รัฐบาลเบนินจะจัดเทศกาลเฉลิมฉลองให้กับลัทธิวูดูอันเรียกกันอย่างเก๋ไก๋ว่า Voodoo Festival ขึ้น งานเทศกาลนี้เป็นงานใหญ่ระดับประเทศที่รวบรวมสาวกของลัทธิวูดูทุกเพศทุกวัยและทุกสำนักให้มารวมกันอยู่ที่เมืองอวีดาฮ์เพื่อร่วมกันประกอบพิธีเส้นสังเวยอันเป็นพลีกรรมตามความเชื่อของเขา ทั้งนี้เพื่อให้มนุษย์ที่ยังมีชีวิตยังมีลมหายใจได้มีโอกาสติดต่อกับกับดวงวิญญาณของบรรพบุรุษ ของผืนดิน ผืนฟ้า แผ่นน้ำ และสรรพสิ่งต่าง ๆ ในธรรมชาติ รวมทั้งสัตว์ประเภทต่าง ๆ ซึ่งล้วนแต่เป็นสิ่งอันควรบูชาที่รายล้อมอยู่รอบตัว มีการเชิญวิญญาณบรรพบุรุษ เทพเจ้า ตลอดจนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายให้มาสิงสถิตย์อยู่ในร่างทรงต่าง ๆ
ดังนั้นอย่าแปลกใจที่จะได้เจอะเจอกับวิญญาณที่พากันมาร่วมเฟสติวัลนี้อย่างหนาแน่นคึกคักไม่แพ้นักเดินทางอย่างเรา
บ่ายวันนั้น ที่ฟอรตือ ดือ เซา โจเอา บั๊บติ๊ชตา ดือ อาจูดา (Forte de São João Babtista de Ajudá) อดีตป้อมปราการและจวนผู้ปกครองที่สร้างโดยชาวโปรตุเกสซึ่งในปัจจุบันนี้ได้รับการบูรณะให้เป็นพิพิธภัณฑ์แห่งเมืองอวีดาฮ์ ขณะที่ผมและพี่ ๆ น้อง ๆ กำลังเดินศึกษาเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของเมืองนี้กันอย่างเพลิดเพลินนั้น อยู่ดี ๆ ผมก็ได้ยินเสียงกลองที่ดังขึ้นอย่างรัวเร็วฟังน่าตื่นเต้นอยู่ด้านหน้าป้อมจนผมต้องชวนพี่ ๆ น้อง ๆ ออกมาดูกันว่าเกิดอะไรขึ้น
เราเห็นเบนินมุงยืนอยู่หน้าป้อมปราการเป็นจำนวนมาก และเมื่อมองเลยออกไปก็จะเห็นกองฟางทรงกลมขนาดใหญ่ที่มีสีสันหลากสีสวยงามกำลังหมุนติ้ว ๆ เคลื่อนที่ไปมาตามจังหวะกลอง ขึ้นล่องไปตามถนนดินอย่างรวดเร็วจนฝุ่นคลุ้ง
“อะไรน่ะ?” ผมกระซิบถามนิโกลาส์ (Nicolas) ไกด์ของเราด้วยความอยากรู้ ผมเริ่มสงสัยแล้วว่านี่จะเป็นวิญญาณที่ออกเพ่นพ่านในวันนี้ด้วยเช่นกัน
“ซังเบโต... นี่คือซังเบโตไงล่ะ” นิโกลาส์ตอบเสียงดังทะลุเสียงกลองเพื่อให้ผมได้ยิน
ซังเบโต (Zangbeto) เป็นวิญญาณในรูปแบบหนึ่ง และเชื่อกันว่าเป็นผู้พิทักษ์ซึ่งจะทำหน้าที่คุ้มครองดูแลหมู่บ้านหรือพื้นที่นั้น ๆ ให้ปลอดภัย คอยปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายให้หมดสิ้น รวมทั้งยังคอยปกป้องคนดีจากคนชั่ว และนำความปลอดภัยสุขสงบมายังพื้นที่นั้น ๆ
หากเราไปค้นหาความหมายของคำว่า Zangbeto จะพบคำนี้แปลเป็นภาษาอังกฤษว่า Nightwatchmen หรือ Nightwatch spirit ซึ่งหมายถึงผู้พิทักษ์ยามราตรี แต่ผมแอบสงสัยว่าตอนนี้มันคือช่วงกลางวันแสก ๆ ทำไมวิญญาณของซังเบโตเผยตัวออกมาแล้วล่ะ
“ก็เพราะวันนี้เป็นวันเริ่มต้นเทศกาลวูดู ถือว่าเป็นวันพิเศษไงล่ะ ดังนั้นซังเบโตก็เลยขยันกว่าเดิม ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า” นิโกลาส์อธิบาย
“โห.... มีทำงานล่วงเวลาด้วยนะเนี่ย นับถือ นับถือ” ผมล่ะแอบซื่นชมวิญญาณดวงนี้จริง ๆ
อัตราการหมุนของซังเบโตนั้นรวดเร็วจนน่าทึ่ง และซังเบโตยังสามารถโคจรไปได้รอบทิศ ไม่ว่าจะไปหน้า ถอยหลัง เดี๋ยวเลี้ยวซ้าย แล้วก็ป่ายขวาบ้าง ไม่ว่าซังเบโตจะหมุนไปทิศไหนก็ไปอย่างปรูดปราดรวดเร็วจนฝุ่นคลุ้ง ร่างมนุษย์ที่อยู่ภายใต้กองฟางนั้นต้องแข็งแรงมาก ๆ จนผมแอบคิดว่าเขาจะต้องเคยเป็นนักวิ่งมาราธอนมาก่อนแน่ ๆ
“ไม่มี้...ไม่มีร่างมนุษย์อยู่ใต้กองฟางเหล่านั้นเลยนะ ที่เห็นนี้คือพลังของซังเบโตล้วน ๆ ที่ทำให้กองฟางเคลื่อนที่ได้เอง” นิโกลาส์รีบอธิบายเสียงสูง เขาเน้นหนักตรงคำว่า “ไม่มี้” อย่างจริงจัง
“ฮ้า.... ไม่มีร่างมนุษย์ภายใต้กองฟางเลยเหรอ?” ผมตะโกนตอบเสียงสูงไม่แพ้กันโดยเน้นหนักตรงคำว่า “ฮ้า”
ไม่ทันขาดคำ นักบวชวูดูในชุดขาวก็นำกองฟางที่ยังอยู่ในสภาพเรียบ ๆ แบน ๆ มาตั้งอยู่กลางถนนฝุ่น นิโกลาส์อธิบายว่าเขากำลังจะทำพิธีเชิญวิญญาณของซังเบโตให้มาสถิตย์อยู่ในฟางกองนี้ เพื่อให้เคลื่อนที่ไปพร้อมกับซังเบโตร่างอื่น ๆ ที่กำลังหมุนติ้ว ๆ อยู่ในบริเวณนั้น
ถึงช่วงนี้ผมและพี่ ๆ น้อง ๆ พากันตื่นเต้นจนใจสั่น เราพยายามสังเกตพิธีกรรมการเชิญวิญญาณของซังเบโตให้มาสิงอยู่ในกองฟางจนแทบไม่หายใจ แดดจะร้อนหรือฝุ่นจะคลุ้งแค่ไหนเราก็ไม่ถอย ในมือของเรามีอุปกรณ์การบันทึกภาพทุกชนิดเตรียมไว้ไม่ว่าไอโฟน กล้อง DSLR (พร้อมเลนส์ซูม) และกล้อง GoPro เราแบ่งหน้าที่ในการบันทึกภาพกันอย่างดีเพราะเราไม่อยากพลาดช่วงเวลาเรียกวิญญาณนี้แม้แต่เสี้ยววินาที
“ค่าถ่ายรูปคนละ 2,000 ฟรังก์ เซ. แอ็ฟ. อา. จ่ายมาก่อน ไม่อย่างนั้นไม่ให้ถ่ายภาพ” ชายร่างกำยำที่มาพร้อมกับขบวนซังเบโตปรี่มาที่พวกผมด้วยท่าทางขึงขังพร้อมกับเอ่ยทวงค่าบันทึกภาพประวัติศาสตร์ครั้งนี้ มันตกอยู่ที่ราวคนละ 120 บาทเพราะอัตราแลกเปลี่ยนคือ 1,000 Franc CFA ต่อ 60 บาท โดยประมาณ
“เฮ้ย... มีงี้ด้วยเหรอ? แล้วคนอื่น ๆ ล่ะ งั้นใครแถวนี้จะถ่ายภาพก็ต้องจ่ายด้วยสิ จะมาเก็บเงินแต่พวกเรากลุ่มเดียวไม่ได้นะ” ผมเกิดอาการ “เฮ้ย” พร้อมกับหันไปมองรอบ ๆ ตัวเพื่อมองหาแนวร่วม ว่าอาจจะมีนักท่องเที่ยวคนอื่น ๆ ถือกล้องรอบันทึกภาพสำคัญเช่นเดียวกันกับพวกเรา แต่ผมก็พบว่าไม่มีนักท่องเที่ยวอื่น ๆ เลยสักคนนอกจากเจ้าถิ่นชาวเบนินที่เขามายืนมุงอยู่เฉย ๆ แต่ไม่มีใครแบกอุปกรณ์ถ่ายภาพมากมายอย่างพวกเราเลย ผมจึงหันไปทางนิโกลาส์เพื่อขอคำแนะนำ
“เอาอย่างนี้ เขามาจากเมืองไทย แค่บินมาที่นี่ก็ไกลจะแย่แล้ว อย่าเก็บเขาแพงนักเลย แทนที่จะเป็นคนละ 2,000 ก็เป็นราคาเหมาสี่คนรวมกัน 2,000 ฟรังก์ เซ. แอ็ฟ. อา. แทนละกันนะ” นิโกลาส์หันไปบอกคุณพี่ร่างใหญ่เพื่อช่วยคลี่คลายเหตุการณ์และทุกอย่างก็ตกลงตามนั้น
เวลาผ่านไป 5 นาที จนเข้า 10 นาที และใกล้จะ 15 นาทีก็แล้ว กองฟางสีสวยนั้นก็ยังนิ่งสงบอยู่โดยยังไม่มีการประกอบพิธีกรรมใด ๆ ผมและพี่ ๆ น้อง ๆ เริ่มเมื่อยหลังจากเกร็งข้อมือรอบันทึกภาพเหตุการณ์สำคัญมานาน ระหว่างนั้นพวกเราก็พยายามสังเกตว่าซังเบโตร่างอื่น ๆ นั้นว่าเคลื่อนที่ได้อย่างไร? แอบมีขามนุษย์โผล่พ้นกองฟางมาให้เห็นหรือไม่? แต่เราก็ไม่เห็นอะไรชัด ๆ นอกจากซังเบโตที่โคจรไป ๆ มา ๆ อย่างรวดเร็ว
ทันใดนั้นเราก็ได้ยินเสียงปี่กลองดังขึ้นมาทางด้านหลัง เมื่อหันไปก็พบว่าเป็นบุรุษร่างใหญ่ในชุดสีขาวที่เดินมาเป็นกลุ่ม โดยหนึ่งในนั้นมีคนกางร่มให้เหนือศีรษะของเขา
“บุรษท่านนี้เป็นประมุขลัทธิวูดู... เราเรียกท่านว่า High Priest แห่งอวีดาฮ์” นิโกลาส์อธิบาย
คราวนี้ผมและพี่ ๆ น้อง ๆ พากันวิ่งไปที่ท่านประมุขเพื่อบันทึกภาพท่านและคณะนักบวชวูดูที่กำลังเดินทักทายผู้มีจิตศรัทธา ท่านให้ประชาชนได้จับมือบ้าง ท่านเอามือลูบศีรษะพวกเขาบ้าง รวมทั้งทักทายปราศรัยอย่างใจดี ดูเหมือนว่าชาวเบนินจะศรัทธาท่านมาก ๆ และท่านเองก็ใกล้ชิดกับประชาชนมากด้วยเช่นกัน
พวกเราเดินล่องไปตามถนนเพื่อเก็บภาพขบวนแห่ของประมุขลัทธิวูดูอยู่พักใหญ่จนลืมซังเบโตไปเลย และเมื่อเราวิ่งกลับมาก็เป็นที่น่าเสียดายว่าขบวนซังเบโตนั้นได้เคลื่อนผ่านไปแล้วเรียบร้อยพร้อมกับปริศนาคาใจว่ากองฟางนั้นจะค่อย ๆ ก่อตัวและหมุนติ้ว ๆ ได้อย่างไร? ด้วยพิธีกรรมแบบไหน? และทุกวันนี้ก็ยังคงเป็นปริศนาที่คาใจผมอยู่ต่อไป
เมื่อเราได้พบกับวิญญาณที่มาในร่างของซังเบโตแล้ว นิโกลาส์บอกว่าเราควรไปอีกที่หนึ่งซึ่งเป็นหมู่บ้านชานเมือง อวีดาฮ์เพราะว่าในช่วงเวลาบ่ายคล้อยเช่นนี้จะมีดวงวิญญาณอีกประเภทหนึ่งผ่านมานั่นคืออีกุงกุง (Egungun)
พวกเรารีบเดินทางต่อไปยังหมู่บ้านดังกล่าวทันที Mission ตามเก็บวิญญาณให้หมดในวันนี้ต้องเป็น Mission ที่ Possible เท่านั้น แต่เมื่อเราเริ่มออกเดินทางก็มีคำถามเด็ดจากนิโกลาส์าว่า
“จะไปพบอีกุงกุงนี่พวกยูเตรียมเงินไว้เรียบร้อยแล้วหรือยัง?”
“ไปดูวิญญาณต้องเตรียมเงินด้วยเหรอนิโกลาส์? เอาไว้เป็นค่าขออนุญาตบันทึกภาพแบบเมื่อกี๊เหรอ?” ผมสงสัย
“อีกุงกุงจะเดินเข้ามาหาเราและเราต้องทำบุญด้วยการให้เงินไป ไม่ต้องมากหรอก หาเหรียญหรือแบงค์ย่อย ๆ เตรียมไว้ด้วย พวกยูน่าจะโดนอีกุงกุงมาหามากกว่าชาวบ้านเพราะพวกยูดูแตกต่างกว่าใคร ๆ อย่างเห็นได้ชัด” นิโกลาส์อธิบายถึงแนวทางปฏิบัติและการเตรียมตัว แน่นอนว่าพวกเราทั้งสี่คนย่อมดูขาวโอโม่มาก ๆ เมื่ออยู่ท่ามกลางพี่ ๆ น้อง ๆ ชาวเบนินแล้วอีกุงกุงก็คงจะสนใจเรามากกว่าใครต่อใครอย่างแน่นอน ว่าแต่ว่าอีกุงกุงนี้เป็นอะไร? สงสัยต้องไปหาคำตอบที่หมู่บ้านนี้เสียแล้ว
ที่หมู่บ้านนั้นมีลานดินโล่ง ๆ ขนาดพอประมาณซึ่งเตรียมที่เตรียมทางไว้เป็นอย่างดี มีเต๊นท์พร้อมเก้าอี้นั่งจำนวนหนึ่ง และเราสี่คนก็ได้นั่งหน้าสุดหลังจากที่นิโกลาส์ไปเจรจาอะไรบางอย่างกับหัวหน้าหมู่บ้าน ผมคิดว่าเขาคงไปบอกว่าพวกเรามาไกลและสมควรได้นั่งหน้าจะได้เห็นอีกุงกุงชัด ๆ
พี่ ๆ น้อง ๆ ชาวเบนินทยอยมากันอย่างคึกคักจนแน่นขนัดและทำให้ลานโล่งแห่งนี้เริ่มคับแคบลงไปเรื่อย ๆ แต่ยังมีพื้นที่สี่เหลี่ยมกึ่งจตุรัสเหลือไว้ให้กับอีกุงกุง เวลาผ่านไปสักพัก ผมก็เริ่มได้ยินเสียงกลองดังรัวขึ้นมาจากกลุ่มนักดนตรีที่เดินเข้ามากลางลาน พร้อมเสียงขับขานเพลงพื้นบ้านจากกลุ่มนักร้องที่ยืนอยู่ในเต๊นท์แถวหลัง ๆ ถัดไปจากพวกผม
ไม่นานอีกุงกุงร่างแรกก็ปรากฏตัวขึ้นในชุดหลากสีสันสุดอลังการ ผ้าที่ซ้อนทับกันหลายชั้นนั้นปักลวดลายสวยงามจี๊ดจ๊าด หน้ากากก็ปักด้วยลวดลายอันเป็นเอกลักษณ์ และคราวนี้ผมเห็นชัดเจนว่ามีร่างมนุษย์อยู่ภายใต้เสื้อผ้าอันหนาหนักนี้
“อีกุงกุงเป็นร่างคนไม่เหมือนกับซังเบโตนี่นา แต่เชิญวิญญาณมาสิงสถิตในร่างนี้ใช่ไหม?” ผมกระซิบถามนิโกลาส์ที่อยู่ใกล้ ๆ
“ใช่ ใช่ ใช่... อีกุงกุงต่างจากซังเบโต เพราะอีกุงกุงคือการเชิญวิญญาณของผู้ตายให้มาสิงอยู่ในร่างมนุษย์อันเป็นร่างทรง โดยจะเป็นดวงวิญญาณของบรรพบุรุษที่เคยอาศัยในหมู่บ้านนี้ หรือในเมืองนี้” นิโกลาส์ตอบข้อสงสัย
“กรี๊ดดดดดด..... กรี๊ดดดด... กรี๊ดดดด...” เสียงผู้คนกรีดร้องดังระงมแหวกเสียงกลองและเพลงพื้นเมืองขึ้นมาพร้อมกับฝูงชนที่แตกฮือวิ่งหนีกันอลหม่าน ผมเห็นอีกุงกุงกำลังวิ่งไล่ชาวบ้านไปทางนู้นทางนี้ดูน่าตื่นเต้น
“อะไร? อะไร? อะไร? ทำไม? ทำไม? ทำไม? นิโกลาส์” ผมต้องการคำอธิบายสิ่งที่เห็นตรงหน้า
“เชื่อกันว่าอีกุงกุงจะวิ่งไปวิ่งมาตามแต่วิญญาณจะนำไป และคนที่มาชมจะโดนร่างของอีกุงกุงไม่ได้ เพราะเขาจะเสียชีวิตและตามไปอยู่กับบรรพบุรุษ ร่างของอีกุงกุงเองนั้นก็จะสูญสลายไปด้วย” นิโกลาส์เล่าอย่างรัวเร็ว
ถ้าให้อธิบายง่าย ๆ ก็คือ อีกุงกุงนั้นเป็นวิญญาณของบรรพบุรุษที่อัญเชิญมาสิงในร่างทรงด้วยความเชื่อที่ว่าบรรพบุรุษของเราไม่ได้หายไปไหน เมื่อเสียชีวิตลงแล้วก็จะกลายสภาพไปจนไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า แต่ในความเป็นจริงแล้วท่านยังคงเดินไปมาและใช้ชีวิตวนเวียนอยู่รอบ ๆ ตัวเรา คอยดูแลเรา คอยปกป้องและคุ้มครองเราอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน และเมื่อถึงเทศกาลวูดู เราก็จะเชิญให้มาประทับร่างทรงเพื่อยินยันว่าวิญญาณนั้นยังมีอยู่จริง
“ถ้ามองดี ๆ จะเห็นว่ามีคนจำนวนหนึ่งคอยถือไม้ไว้กันอีกุงกุงไม่ให้ไปสัมผัสโดนคน ถ้าร่างของอีกุงกุงโดนไม้ก็จะไม่เป็นอะไร แต่ถ้าโดนร่างคนล่ะก็ เชื่อกันว่าคนคนนนั้นจะสูญเสียชีวิตและไปอยู่ร่วมกับบรรพบุรุษอย่างที่บอกไป” นิโกลาส์อธิบายเพิ่มเติมพร้อม ๆ กับที่อีกุงกุงหันมาทางพวกผมและปรี่เข้ามาอย่างรวดเร็วตามจังหวะกลอง ผมก็อยากจะกรี๊ดออกมาแล้ววิ่งหนีไปเหมือนกันนะครับ แต่ผมนั่งหน้าสุดแบบลุกไปไหนไม่ได้ และในวินาทีที่ร่างของอีกุงกุงเกือบจะสัมผัสโดนผมก็มีไม้ยาว ๆ มากันออกไปพอดี.....
ฟิ้ววววว.... รอดไปละคราวนี้ ผมแอบขอบุณคุณพี่ผู้ถือไม้คนนั้นด้วยจิตคารวะ และผมก็ได้ภาพอีกุงกุงที่ใกล้ตัวผมมาก ๆ และผมขอตั้งชื่อภาพนี้ว่า “เกือบแล้วจ้า”
อีกุงกุงค่อย ๆ ทยอยเดินออกมาที่กลางลานดินที่ละตนสองตนด้วยเสื้อผ้าลวดลายต่างกัน แต่ทั้งหมดล้วนมีสีสันที่สดใส และมีหน้ากากที่ประดับอย่างสวยงามโดดเด่น บางร่างก็มีหมวกทรงแปลก ๆ ด้วย อีกุงกุงแต่ละตนจะมีท่วงท่าของตัวเอง บางร่างก็เดิน บางร่างก็โดด บ่างร่างมีลังกาหน้าและกลับลังกาหลังอย่างว่องไว บางร่างหมุนคว้างไปเรื่อย ๆ จนชุดที่ใส่อยู่นั้นปลิวออกเป็นวงกลมสวยงาม และผมแอบเห็นโลโก้ของแบรนด์ดัง ๆ อย่างกุชชี่บ้าง ชาแน็ลบ้าง ปรากฏอยู่บนลายเสื้อของอีกุงกุงด้วย.... หรือว่าท่านเป็นอีกุงกุงแฟชั่นดีไซเนอร์แนวโอ๊ตกูตูร์?
ผู้คนยังคงกรี๊ดและวิ่งหนีอีกุงกุงกันจ้าละหวั่นเวลาร่างของอีกุงกุงวิ่งไล่เข้าไปในฝูงชน แต่ผมเห็นทุกคนหัวเราะสนุกสนานมาก ๆ เหมือนการเล่นวิ่งไล่จับสมัยที่เรายังเด็ก ๆ ผมแอบอยากลุกจากเก้าอี้วีไอพีแถวหน้านี้แล้วไปร่วมวิ่งด้วยกับชาวบ้านมาก ๆ แต่ผมก็ยังคงไปไหนไม่ได้ ผมเลยได้แต่ถ่ายคลิปภาพเคลื่อนไหวมาเก็บบันทึกไว้เป็นความทรงจำแทน
อีกุงกุงค่อย ๆ ทยอยออกมาเรื่อย ๆ และดูเหมือนว่าพลังจะไม่หมดลงง่าย ๆ เพราะทั้งวิ่ง ทั้งโดด ทั้งตีลังกา และไล่ล่าฝูงชน ขณะเดียวกันก็มีอีกุงกุงที่เยื้องย่างมาทางพวกผมก่อนจะปรี่เข้ามาหาอยู่เป็นระยะ ๆ และพวกเราก็ต้องรีบ “ทำบุญ” ไปด้วยเงินที่เตรียมมาด้วยการส่งให้คนถือไม้บ้าง หรือหย่อนลงบนฝ่ามือของอีกุงกุงบ้างพร้อม ๆ กับที่ไม้จะคอยกันไม่ให้อีกุงกุงสัมผัสโดนพวกผม
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นอยู่นานนับชั่วโมงจนน้องผมกระซิบว่า “เงินหมดแล้วค่ะ ถ้าอีกุงกุงเข้ามาคราวหน้าเราแย่แน่ ๆ ค่ะ” ผมจึงรีบกระซิบนิโกลาส์และเราก็ค่อย ๆ ย่องออกมาจากหมู่บ้านในตอนค่ำเมื่อพระอาทิตย์ลับเหลี่ยมฟ้าพอดี
“แล้วคืนนี้มีวิญญาณอะไรที่เราควรไปดูอีกไหมนิโกลาส์?” ผมถามเพราะไม่อยากพลาด ในเมื่อผมมีโอกาสมาอยู่เมืองพิเศษในวันพิเศษเช่นนี้แล้ว
“ไม่มีแล้วล่ะ อาจมีขบวนของซังเบโตเคลื่อนไปตามท้องถนนต่าง ๆ ทั่วอวีดาฮ์ แต่ยูก็เห็นซังเบโตกันแล้วนะ” นิโกลาส์ฟันธงว่าผมเก็บวิญญาณมาครบหมด และเวลาเย็นย่ำเช่นนิ้วิญญาณก็ต้องการพักผ่อนเช่นกัน
พวกเราเลยหาร้านอาหารนั่งทานข้าวเย็นกันเงียบ ๆ และกลับโรงแรมไปอาบน้ำอาบท่าชำระฝุ่นที่หมักหมมมาทั้งวันพร้อมกับประสบการณ์ในวันพิเศษของเมืองอวีดาฮ์ในวันนี้..... วันที่วิญญาณเดินเพ่นพ่านอยู่เต็มเมือง
Photo contributor
ดวงฤทัย พุ่มชูศรี
ลูกคนกลางที่เกิดวันพฤหัส มีโลกส่วนตัวสูง แต่ชอบตะลุยโลกกว้าง ขีด ๆ เขียน ๆ บันทึกเอามัน สีน้ำบ้าง ถ่ายรูปด้วยความหลงไหลด้วยฟิล์มบ้าง ดิจิตอลบ้างตามอารมณ์
ติดตามบันทึกการเดินทางประเทศไม่ธรรมดาที่ FB: Nings Homemade และ IG : thursday_morning