HAPPENING BKK
NLINE MAGAZINE
×
Trappist beer: (เบียร์) รสพระทำ ดีที่สุดในโลก
by Zillah
24 มิ.ย. 2562, 22:42
  13,295 views

Trappist beer เบียร์จากวัดในเบลเยียมเป็นเบียร์ที่ดีที่สุดในโลและหาดื่มยากมาก

        วัดอะไรเอ่ยไม่มีน้ำมนต์ ไม่มีน้ำศักดิ์สิทธิ์ แต่มีเบียร์ขายเพื่อนำรายได้มาทำนุบำรุงวัดสืบทอดกิจการของสงฆ์

        วัดในเบลเยียม!

        ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าพระในเบลเยียมนอกจากได้รับอนุญาตให้ทำเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ภายในวัดได้แล้วยังสามารถขายเป็นสินค้าเพื่อนำเงินมาทำนุบำรุงวัดได้อีกต่างหาก นั่นเป็นเพราะวัดในเบลเยียมไม่ได้จัดกฐินหรือผ้าป่าเพื่อเรี่ยไรเงินจากญาติพี่น้องที่มีจิตศรัทธาให้นำเอาปัจจัยไปถวายพระ เพราะฉะนั้นพระก็ต้องทำงานเหมือนคนทั่วไปเพื่อสร้างรายได้ให้กับวัดนั่นเอง

        และไม่เชื่อก็ต้องเชื่ออีกว่า เบียร์ที่พระในเบลเยียมหมักหรือ Trappist beer (นับจากบรรทัดนี้เราขอเรียกว่า “เบียร์พระทำ”) นั้นได้ชื่อว่าเป็นเบียร์ที่ดีที่สุดในโลกอีกด้วย

        ถึงกระนั้นมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกนักที่พระในยุโรปจะทำเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ปัจจุบันก็ยังมีบ้าง เช่นในฝรั่งเศส ซึ่งการผลิตเครื่องดื่มภายในวัด (monastic alcohol) ถือว่าเป็นวิถีชีวิตอย่างหนึ่งของพระนิกายคาธอลิค หลายแห่งอาจจะไม่ใช่พระทำเองแต่ทำการว่าจ้างแรงงานมาทำเบียร์หรือไวน์ภายในบริเวณวัด ซึ่งในเบลเยียมเองก็มีเบียร์ในลักษณะคล้ายกันนี้ เรียกว่า abbey beer พระที่ทำเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่เป็นที่รู้จักมากที่สุดก็คือ  Dom Perignon จากฝรั่งเศส ภายหลังก็กลายเป็นชื่อแชมเปญที่แพงที่สุดนั่งเอง (ไว้ตอนหน้าจะมาพูดกันถึงชนิดของเบียร์ที่มีขายตามท้องตลาดว่าชนิดไหนเหมาะสำหรับกินอย่างไร ต้องกินกับอาหารประเภทไหน)

ทางเข้าวัดที่ผลิตเบียร์ ​Orval ของเบลเยียม 

      เรื่องราวของเบียร์ชนิดนี้มีอยู่ว่า Trappist เป็นชื่อเรียกนักบวชนิกาย Cistercian ซึ่งเดิมอยู่ประเทศฝรั่งเศส (ไม่ใช่เบลเยียมอย่างที่คิดกัน) ก่อตั้งในศตวรรษที่ 12 เป็นนิกายที่เข้มงวดมาก ยึดหลักว่าพระต้องสวดมนต์ ทำพิธีการเกี่ยวกับวัด ต้องใช้แรงงาน (ของพระ) และต้องอยู่แบบพอเพียง พระนิกายนี้จะผลิตสิ่งของและอาหารที่ตนเองต้องใช้ต้องกิน แรกเริ่มพระจะดื่มแต่น้ำเปล่าเท่านั้น ต่อมามีการเปลี่ยนแปลงกฏให้พระดื่มเครื่องดื่มที่คนในท้องถิ่นดื่มได้ เมื่ออยู่ฝรั่งเศส พระก็สามารถผลิตไวน์ได้เหมือนชาวบ้าน พอเข้าสมัยการปฏิวัติฝรั่งเศส (French Revolution 1789-1799) พระนิกายดังกล่าวถูกรัฐคุกคาม โบสถ์และวิหารถูกยึดและถูกปิดตาย พระ Trappist ต้องหนีออกจากประเทศฝรั่งเศส ไปสวิสเซอร์แลนด์ เข้ารัสเซีย ท้ายสุดมาปักหลักอยู่ที่เมือง Westmalle ใกล้ Antwerp ประเทศเบลเยียม เนื่องจากคนเบลเยียมดื่มเบียร์เป็นหลัก พระจึงเริ่มต้นผลิตเบียร์เพื่อดื่มเหมือนชาวบ้าน

Photo courtesy of Philip Rowlands 

        ปัจจุบันมีเบียร์ที่เรียกตัวเองว่าเป็น Trappist อยู่ 14 ชนิด แต่มีเพียง 12 ชนิดที่ได้รับฉลากว่าเป็น Authentic Trappist Product นั่นคือ

  • จากประเทศเบลเยียม 6 ชนิดคือ Westmalle (1836), WestVleteren (1838), Chimay (1862), Rochefort (1899), Orval (1931), Achel (1998)
  • จากประเทศฮอลแลนด์ 2 ชนิดคือ La Trappe (1884), Zundert (2013)
  • จากประเทศออสเตรีย คือ Gregorius และ Benno (2012)
  • จากประเทศสหรัฐอเมริกา คือ Spencer (2013)
  • จากประเทศอิตาลี คือ Tre Fontane (2015)
  • และจากประเทศอังกฤษ คือ Tynt Meadow (2018)

      การที่เบียร์จะได้รับฉลาก Trappist นี้ไม่ใช่ง่ายๆ เพราะนอกจากจะต้องเป็นพระนิกาย Cistercian เท่านั้นที่เป็นผู้ผลิตเบียร์ดังกล่าว ก็ยังมีกฏอีก 3 ข้อที่ต้องปฏิบัติอย่างเคร่งครัดคือ

  1.  เบียร์ต้องผลิตภายในรั้วของวัดนั้นๆ 
  2. การผลิตต้องทำโดยนักบวช หรืออยู่ภายใต้การควบคุมดูแลอย่างใกล้ชิดของนักบวช
  3. รายได้จากการขายต้องนำไปบำรุงวัดและให้นักบวชในวัดใช้ยังชีพเท่านั้น ห้ามขายเพื่อเอากำไร

โดยทั่วไปแล้วเบียร์ Trappist ไม่จำเป็นต้องมีสีเข้ม หรือมีปริมาณแอลกอฮอล์สูง หากตอบสนองกฏข้างบนก็สามารถไปขอขึ้นทะเบียนเป็น Trappist beer ได้

มารู้จัก Trappist beer หรือเบียร์พระทำของเบลเยียม

แต่วันนี้เราจะมาพูดถึง Trappist ของเบลเยี่ยมเท่านั้น เพราะมีความคุ้นเคยมากกว่าของที่อื่น นอกจากลองดื่มเองแล้วก็ยังใช้เวลาว่างศึกษาข้อมูล และอาศัยการแลกเปลี่ยนข้อมูลกับผู้มีความรู้เวลาไปนั่งดื่มที่ Stamcafe อยู่เป็นประจำ

Achel (ออกเสียงว่า อา-เคิล)

        เริ่มผลิตปี 1997 โดยความช่วยเหลือจาก Trappist จาก Westmalle ที่นี่เป็นโรงเบียร์ Trappist ที่ใหม่ที่สุดของเบลเยี่ยม ตอนสมัยสงครามโลกทั้งสองครั้ง โรงเบียร์นี้ถูกทหารเยอรมันปิดและทำลายเพื่อที่จะเอาทองแดง (จากหม้อต้ม) ไปทำอาวุธ โรงเบียร์น้องใหม่นี้ผลิตเบียร์หลายชนิด มีอัลกอฮอล์ตั้งแต่ 5%-9.5% แต่มีขายตามร้านแค่ 2 ชนิดคือ Achel 8 blond และ Achel 8bruin

        ส่วนชนิดอื่นๆ ถ้าอยากชิมต้องไปชิมที่วัดเท่านั้น (ตามวัดเหล่านี้จะมีผับเปิดตอนกลางวันให้คนไปดื่มเบียร์ที่วัดทำ)

Chimay (ชิ-เม่)

        ก่อตั้งโดยนักบวชจาก Westvleteren ที่ต้องการหนีออกมา ‘หาประสบการณ์ใหม่ๆ’ 

ผลิตหลักๆ ก็มี 4 ชนิด (ช่วงคริสมาสต์ก็จะมีรุ่นพิเศษออกมาบ้างตามอัธยาศัย)

La Chimay Doree (blond) 4.8%

Chimay red 7%

Chimay Triple 8%

Chimay blue 9%

(ชื่อสีด้านบนคือสีที่ปรากฎบนฉลาก)

ชิ-เม่ แต่ละสี// Photo courtesy of Commons Wikimedia By Georgio 

        เบียร์ยี่ห้อนี้มีความน่าสนใจอย่างนึงคือ โรงเบียร์ของที่นี่ผลิตเบียร์ให้ Trappist แห่งนึง ของฝรั่งเศสด้วย แต่เบียร์อันนั้นไม่สามารถใช้โลโก้ Trappist ได้เพราะไม่ทำตามกฏที่ว่าเบียร์ต้องผลิตภายในวัดของตนเองเท่านั้นห้ามไปอาศัยคนอื่นผลิต ที่น่าสนใจไปกว่านั้นก็คือ เบียร์ที่ว่าคือ Trappist ของ Mont des Cats ซึ่งวัดนี้เป็นวัดแรกในประวัติศาสตร์ของ Trappist beer ที่ผลิตเบียร์ Trappist และก็เคยได้รับโลโก้ว่าเป็น Trappist เบียร์จริงๆ แต่ต่อมาภายหลังทางวัดไม่มีโรงผลิตเบียร์เองต้องมาให้ทาง Chimay ผลิตให้ ก็เลยต้องสูญเสียโลโก้ไป

Orval (ออ-วัล)

        เบียร์ยี่ห้อนี้มีความแตกต่างกว่าเบียร์พระทำยี่ห้ออื่นๆ ตรงที่เป็นมีวางขายตามร้านค้าเพียงรสเดียว เพราะเบียร์รสอื่นๆ ที่ผลิตโดยพระจะวางขายเฉพาะที่วัดเท่านั้น ใครอยากจะลองชิมความหลากหลายต้องเดินทางไปที่วัดเท่านั้น

        เนื่องจากเบียร์นี้เป็น Trappist แห่งเดียวที่ใช้ wild yeast ทำให้รสชาติออกเปรี้ยวนิดๆ นอกจากนี้ยิสต์ชนิดนี้ยังทำให้น้ำตาลที่ใส่ในขั้นตอนการผลิดเปลี่ยนเป็นแอลกอฮอล์ทั้งหมด จึงทำให้ Orval เป็นเบียร์ Trappist ที่มีแคลอรี่ต่ำสุด

        หากมองบนฉลากเบียร์ดีๆ จะเห็นรูปปลาเทร้าท์คาบแหวนทอง ตามตำนานการก่อตั้งวัดนี้ มีเรื่องเล่าว่ามีดัตเชสคนนึงเดินทางผ่านแหล่งน้ำในหุบเขาแห่งนึง เธอก้มลงใช้มือวักน้ำจากลำธารดื่ม แหวนทองของเธอจึงหล่นลงไปในลำธาร เธอจึงสวดขอพระเจ้าให้นำแหวนมาคืน ทันใดน้ันปลาเทร้าท์แสนรู้ก็ผุดหัวขึ้นมาพร้อมกับแหวนทองของเธอ เธอตื่นเต้นมากถึงกับร้องออกว่า Val d’Or (หุบเขาสีทอง) นั่นคือที่มาของชื่อเบียร์

Rochefort (รอช-ฟอร์

        วัดที่ผลิตเบียร์ Rochefort ตั้งอยู่ในภูมิประเทศคล้ายๆ กับวัดที่ผลิตเบียร์ Oval คือมี บรรยากาศเหมาะสมสำหรับผู้ชอบเดินป่าเขา หรือนักท่องเที่ยวผู้รักธรรมชาติ หลังจากเดินป่ามาเหนื่อยๆ ก็มาจบที่ผับของวัด นั่งดื่มเบียร์ Trappist ที่โด่งดังของที่นี่ วัดนี้ก็เคยต้องหยุดการผลิตเบียร์ไปสองครั้งเมื่อสมัยสงครามโลกทั้งสองครั้ง ถึงวันนี้วัดนี้มีพระอยู่ 15 รูปที่ยังอาศัยอยู่ในวัด

        เบียร์รุ่นแรกผลิตในปี 1899 มีรสชาติพิเศษเนื่องจากใช้น้ำจากแหล่งน้ำภายในบริเวณวัดเอง มี 3 ชนิด

Rochefort 6 - 7.5%

Rochefort 8 - 9.2%

Rochefort 10 - 11.3% เป็น Trappist ที่มีปริมาณแอลกอฮอล์สูงที่สุด

ตัวเลขตามหลังชื่อ บ่งบอกความเข้มข้นของเบียร์ไม่ใช่ประมาณแอลกอฮอล์ 

Westmalle (เวสต์-มัล-เล่อ)

        Trappist ที่เป็นที่นิยมมากที่สุดยี่ห้อหนึ่งและหาดื่มได้ทั่วไป มีขายตามร้านทั่วไปอยู่ 2 แบบ คือ

Westmalle Dubbel (Bruin) 7%

Westmalle Tripel (Blond) 9.5%

Westmalle Extra หาดื่มได้เฉพาะที่วัด ผลิตขึ้นเป็นพิเศษปีละสองครั้ง มีประมาณแอลกอฮอล์แค่ 4.8% ไม่มีวางขายตามร้านเพราะผลิตให้พระในวัดดื่มเป็นหลัก

        กูรูเรื่องเบียร์ให้ข้อสังเกตว่า Westmalle Tripel มีกลิ่นของกล้วยสุกๆ

ปี 2005 Westmalle ได้รับเลือกจากผู้อ่าน The New York Times จากทั่วโลกว่าเป็นเบียร์ที่ดีที่สุด

ปี 2012 Westmalle ได้รับเหรียญทองจากงาน World Beer Cup

Westvleteren (เวสต์-เฟล-เตอ-เริ่น)

        Trappist ที่หาซื้อยากที่สุดของเบลเยี่ยมเพราะวัด Sint-Sixtusabdij หรือ St Sixtus Abbey จะผลิตประมาณ 60,000 ลังต่อปีเท่านั้น และมีกฏห้ามวางขายตามร้านหรือในร้านอาหาร เมื่อก่อนกว่าจะได้เข้าถึงรสเบียร์พระทำจากวัดนี้เป็นเรื่องที่แสนจะลำบาก เพราะใครที่อยากดื่มจะต้องโทรไปสั่งจองที่วัดและทำตามขั้นตอนที่วัดกำหนดเท่านั้น เบอร์โทรศัพท์มีเพียงเบอร์เดียว หลายคนพยายามโทรแต่กดจนมือหงิกก็ไม่ติดจนเลิกล้มความตั้งใจไปก็หลายนัยว่าไม่มีบุญได้เข้าถึงรสเบียร์พระทำ แต่ถ้าวันไหนโชคเข้าข้างกดปุ๊บติดปั๊บก็สามารถสั่งจองได้แค่สองลังเท่านั้น เวลาโทรจองจะต้องบอกทะเบียนรถที่จะขับไปรับ รับได้เฉพาะวันและเวลาที่ทางวัดกำหนดเท่านั้นต่อรองไม่ได้ ไปสายหรือไปไม่ได้ รถทะเบียนนั้นเข้าอู่ก็ถือว่าบุญมีแต่กรรมบังและหมดสิทธิเข้าถึงรสพระทำต้องไปเริ่มต้นจองใหม่ วิธีการจ่ายเงินก็ห้ามจ่ายเงินสด ไม่รับบัตรเครติด รับบัตรเดบิตอย่างเดียวเท่านั้น

        เพราะฉะนั้นถ้าโชคดีได้ซื้อเบียร์นั่นก็แปลว่าคุณจะหมดสิทธิ์ไปอีก 60 วัน พอครบกำหนดจึงจะเริ่มโทรจองได้อีก ทั้งนี้เพราะทางวัดต้องการให้คนทั่วไปมีโอกาสได้เข้าถึงรสเบียร์พระทำกันถ้วนหน้า

         แต่ระยะหลังทางวัดพบว่ามีพ่อค้าคนกลางเล่นไม่ซื่อไปแฮ็คระบบโทรศัพท์ทำให้ตัวเองสามารถโทรได้ตลอดและกันไม่ให้คนอื่นโทรเข้าได้เพื่อจะเอาไปขายต่อในราคาที่สูงกว่าเดิม วัดจึงแก้ปัญหาด้วยการประกาศยกเลิกระบบโทรจองทางโทรศัพท์ไปเมื่อต้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา และพัฒนาระบบการจองซื้อเบียร์ใหม่ โดยการทำการว่าจ้างคนทำระบบการจองออนไลน์ จดจำทะเบียนรถที่เข้ามาซื้อแบบอัตโนมัติ ทันทีที่ขับรถเข้าไปรับเบียร์ก็มีระบบเซ็นเซอร์จดจำป้ายทะเบียนรถได้ทันที 

         การเปิดให้จองออนไลน์ในปัจจุบันนี้จะเปิดเพียงแค่เดือนละสองวันผ่านทางเว็บ http://www.trappistwestvleteren.be เฉพาะวันพุธเว้นวันพุธ ระหว่างเวลาบ่ายโมงถึงห้าโมงเย็นเท่านั้น ระบบจองจะมีการคัดเลือกคนโดยอัตโนมัติซึ่งระบบการจองใหม่ก็แสนจะฉลาดจำขาประจำได้แต่ไม่เลือก จะเลือกคนหน้าใหม่หรือคนที่ไม่ค่อยซื้อ เพื่อเปิดโอกาสให้คนได้เข้าถึงรสพระทำกันในวงกว้างขึ้น

         คนไทยได้ยินก็คงคิดทันทีว่า แหม่! จะไปยากอาร๊ายยยย ก็เปลี่ยนทะเบียนรถที่ใช้จองและรับของสิ ถ้าอยู่เมืองไทยก็คงทำได้ไม่ยากเท่าไหร่เพราะแต่ละบ้านมีรถกันหลายคันเหลือเกิน แต่บังเอิญว่าคนเบลเยียมไม่มีบ้านไหนมีรถหลายๆ คันจอดไว้ดูเล่น บางทีเงินก็ไม่สามารถจะซื้อได้ทุกอย่าง 

        พระวัดนี้บอกไว้ว่าทางวัดไม่มีนโยบายจะเพิ่มกำลังการผลิต เพราะวัดนี้เป็นวัดเล็กๆ และผลิตเบียร์ตามกำลังเท่านั้น ในแต่ละปีพระในวัดจะมีตาราง “ทำงาน” แน่นเอี๊ยด การผลิตเบียร์เป็นเพียงหนึ่งในหน้าที่หลายๆ อย่างของพระวัดนี้ ในตารางจะมีวันที่ผลิตเบียร์ได้ประมาณ 40 วันต่อปีเท่านั้น และขั้นตอนทำเบียร์แต่ละขวดใช้เวลาถึง 16 สัปดาห์ รายได้ที่ได้จากเบียร์ก็คือไปใช้จ่ายประจำวันและบูรณะซ่อมแซมวัดเท่านั้น ไม่ได้ทำเพื่อหวังกำไร เพราะพระที่นี่อยู่กันแบบสมถะจริงๆ รถที่ใช้ก็เป็นรถบรรทุกใช้ขนเบียร์ ไม่ได้มีรถสปอร์ตหรือรถโบราณขับไปหาญาติโยมแต่อย่างใด หากพระที่นี่จะไปไหนมาไหนก็ใช้จักรยานหรือนั่งรถประจำทางกัน

Trappist และแก้ว 11 แบรนด์ // Courtesy of common wikipedia

 

ABOUT THE AUTHOR
Zillah

Zillah

Passionate, Curious, Quirky. Speaks English, Dutch and Thai

ALL POSTS