อย่าพลาด “โขนพระราชทาน” อลังการจัดเต็ม พ.ย. นี้
โขนพระราชทานปีนี้ยิ่งใหญ่จัดเต็ม สมการรอคอย มาในตอน “พิเภกสวามิภักดิ์
โขนพระราชทานปีนี้ยิ่งใหญ่จัดเต็มโดยมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯ กลับมาพร้อมกับการแสดงที่หาชมยากในตอน “พิเภกสวามิภักดิ์” หนึ่งเดือนเต็ม 3 พฤศจิกายน ถึง 5 ธันวาคมเท่านั้น รับรองยิ่งใหญ่สมการรอคอย
แฟนพันธ์แท้โขนมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพ ในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ หรือที่เรียกกันว่า โขนพระราชทาน ต้องไม่พลาดกับการกลับมาพร้อมกับความยิ่งใหญ่วิจิตรตระการตายิ่งกว่าเดิม ทั้งบท ชุดนักแสดง เครื่องประดับ และฉาก ที่สร้างสรรค์ขึ้นอย่างประณีตตามจารีตโบราณ โดยจะจัดแสดงเพียงหนึ่งเดือนเท่านั้นระหว่างวันที่ 3 พฤศจิกายน ถึง 5 ธันวาคม 2561 วันละ 2 รอบ ณ หอประชุมเล็ก ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย
ท่านผู้หญิงจรุงจิตต์ ทีขะระ เลขาธิการมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพ ในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ และประธานคณะกรรมการอำนวยการจัดการแสดงโขนมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯ ตอน “พิเภกสวามิภักดิ์” เล่าว่า นับตั้งแต่ปี 2550 ถึง 2559 ทางมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯ ได้จัดการแสดงโขนทั้งหมด 8 ตอน และได้รับกระแสตอบรับเป็นอย่างดี ปีนี้ทางมูลนิธิฯ จึงเลือกแสดง ตอน “พิเภกสวามิภักดิ์” มาจัดแสดงเพื่อสื่อความหมายของความจงรักภักดี และการรักษาความเที่ยงธรรมสุจริต
ด้านอาจารย์ประเมษฐ์ บุณยะชัย ผู้กำกับการแสดง อธิบายว่า ได้เตรียมการแสดงตอน พิเภกสวามิภักดิ์ ไว้นานแล้ว เพราะคนที่ชื่นชอบโขนอยากชมตอนนี้มาก และอยากทราบว่า พิเภก (ตัวละครในเรื่องรามเกียรติ์ และเป็นน้องร่วมท้องเดียวกันกับทศกัณฐ์) แปรพักตร์ไปอยู่กับพระรามได้อย่างไร โดยจะแตกต่างจากบทที่ผ่านๆ มา เพราะเป็นการผสมผสานระหว่างบทพระราชนิพนธ์ของรัชกาลที่ 1, รัชกาลที่ 2 และ รัชกาลที่ 6 และบทโขนของกรมศิลปากรที่เคยจัดแสดง นอกจากประมวลในส่วนที่มีชั้นเชิงในการแสดงด้วยการตัดเติมเสริมแต่งให้น่าชมยิ่งขึ้นแล้ว ยังได้นำบทเพลงไพเราะมาเรียงร้อยปรับปรุงขึ้นใหม่ เช่น 'เพลงวา' ซึ่งไม่เคยปรากฏมาก่อน เป็นผลงานประพันธ์โดย คุณหญิงไพฑูรย์ กิตติวรรณ ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (ดนตรีไทย) นำมาใช้แทนเพลงร้องช้าปี่ของเดิม และเพลงสาธุการ ซึ่งเป็นเพลงหน้าพาทย์ชั้นสูง เป็นเพลงแรกในการบรรเลงโหมโรง ใช้สำหรับพิธีการมงคล หรือถวายพระพร ในขณะที่ฉากท้องพระโรง ก็ได้จินตนาการออกแบบขึ้นใหม่ ให้มีความวิจิตรงดงามยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงเสนอแนะให้ปรับการดำเนินบทเพื่อให้ผู้ชมติดตามเรื่องราวได้อย่างต่อเนื่องและสนุกสนาน โดยแบ่งเป็นตอนต่างๆ ได้แก่ องก์ที่ 1 สุบินนิมิต ประกอบด้วย ตอนที่ 1 พิเภกถูกขับ, ตอนที่ 2 พิเภกลาชายาและธิดาและ ตอนที่ 3 เนรเทศ
ส่วนองค์ที่ 2 ประกอบด้วย ตอนที่ 1 พบนิลเอก, ตอนที่ 2 สวามิภักดิ์, ตอนที่ 3 มณโฑทูล ตัดศึก, ตอนที่ 4 สนามรบ และตอนที่ 5 แก้หอกกบิลพัท โดยผู้ชมจะได้รับชมการแสดงที่ยังคงความวิจิตรและกระบวนท่ารำตามแบบฉบับโขนหลวงไว้อีกด้วย
ด้านอาจารย์เกิดศิริ นกน้อย ผู้ช่วยผู้กำกับการแสดง กล่าวว่า ปัจจุบันโขนเป็นศิลปะการแสดงที่ได้รับความสนใจจากเยาวชนมากขึ้น จากเดิมในช่วง 2-3 ปีแรก การจัดแสดงโขนจะใช้นักแสดงจากส่วนกลางของสถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ ในสังกัดกระทรวงวัฒนธรรม ต่อมาสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ มีพระราชเสาวนีย์ให้ส่งเสริมเยาวชนคนรุ่นใหม่เข้ามาแสดงความสามารถ ทางสถาบันฯ จึงได้จัดให้มีการคัดเลือกนักแสดงขึ้น ปรากฎว่า ได้รับความสนใจจากเยาวชนมาสมัครเพิ่มขึ้นทุกปี จากปีแรก 60 คน ล่าสุดปี 2559 มีผู้สมัครกว่า 800 คน จากนักเรียน นักศึกษา ทั้งจากวิทยาลัยนาฏศิลป และสถาบันการศึกษาทั่วประเทศ ซึ่งเยาวชนที่ผ่านการคัดเลือกจะมาแสดงโขนในปีนี้ โดย 2 ปีที่ผ่านมา ได้งดการจัดแสดงเนื่องจากเป็นช่วงพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช การแสดงครั้งนี้ ได้คัดเลือกครูและนักแสดงเยาวชนกว่า 200 คน รวมถึงนักดนตรีและนักพากษ์ ซึ่งมีศิลปินแห่งชาติมาอำนวยการฝึกซ้อมอย่างใกล้ชิด
ท่านผู้หญิงจรุงจิตต์ ยังให้รายละเอียดเพิ่มเติมอีกว่า แนวคิดในการฟื้นฟูศิลปะการแสดงโขนตั้งแต่เริ่มแรกเมื่อปี 2546 และ 2547 นั้น สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ ทรงรับสั่งให้ปรับปรุงตั้งแต่ช่างแต่งหน้าของนักแสดง โดยให้มีความแตกต่างกันระหว่างนักแสดงชายและหญิงอย่างชัดเจน พัฒนาชุดและเครื่องแต่งกายให้มีความงดงามยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ยังใช้ศิลปะแขนงอื่นๆ เข้ามาเกี่ยวข้อง จากเดิมเป็นการจัดแสดงโขนกลางแปลง เมื่อมาจัดในโรงละคร ทำให้ได้ใช้ช่างฝีมือในการสร้างฉาก แสง สี เสียง
สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ ทรงสนพระทัยในทุกรายละเอียด แม้กระทั่งผู้ที่มาเข้าชมในแต่ละปีว่า นอกจากผู้สูงอายุแล้ว มีคนหนุ่มสาวหรือเยาวชน สนใจมาดูโขนมากน้อยเพียงใด พระองค์เคยรับสั่งว่า คนไทยมีสายเลือดของความเป็นช่าง เมื่อให้โอกาสในการฝึกฝนก็จะเป็นช่างที่สร้างสรรค์งานศิลปะได้อย่างประณีตงดงาม และเป็นการแสดงให้เห็นถึงความเป็นเลิศของช่างฝีมือคนไทย ดังนั้น การจัดแสดงโขนไม่เพียงแต่เป็นการอนุรักษ์และฟื้นฟูนาฏกรรมโขน ซึ่งถือเป็นศิลปะการแสดงชั้นสูงสุดของสยามประเทศที่มีต้นกำเนิดมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ยังส่งเสริมคนรุ่นใหม่เกิดความภาคภูมิใจและเข้ามามีส่วนร่วมในการสืบสานการแสดงโขนให้ยังคงเป็นมรดกของชาติไทยสืบไป
ผู้สนใจ สามารถซื้อบัตรเข้าชมได้ตั้งแต่วันนี้ที่ ไทยทิคเก็ต เมเจอร์ ทุกสาขา โทร 02-262-3456 หรือ www.thaiticketmajor.com
บัตรราคา 420, 620, 1,020, 1,520, 1,820 บาท รอบนักเรียน นักศึกษา บัตรราคา 220 บาท (หยุดการแสดงทุกวันจันทร์) ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Facebook : Khon Performance โขนพระราชทาน ในงานมีของที่ระลึกจำหน่าย
การแสดงโขน ชุด พิเภกสวามิภักดิ์ ผู้จัดทำบทได้นำบทพระราชนิพนธ์เรื่องรามเกียรติ์ฉบับต่างๆ อาทิ บทพระราชนิพนธ์ของรัชกาลที่ 1, รัชกาลที่ 2, รัชกาลที่ 3 และบทโขนของกรมศิลปากรที่เคยจัดแสดง มาประมวลและเรียงร้อยปรับปรุงขึ้นใหม่ดังนี้
องก์ที่ 1 สุบินนิมิต
ตอนที่ 1 พิเภกถูกขับ
กล่วงถึงทศกัณฐ์สุบินนิมิตว่า มีแร้งขาวบินมาแต่ทิศตะวันออก แร้งดำมาแต่ทิศตะวันตก เมื่อพบกันได้เข้าต่อสู้ แร้งดำแพ้ ร่างตกลงมากลายเป็นพวกยักษ์ และฝันอีกหนึ่งเรื่องว่า ตนเองถือกะลามีสายชนวนพาดอยู่ในมือ และมีหญิงรูปร่างอัปลักษณ์เข้ามาจี้จุดไฟที่สายชนวน จนไฟลุกติดมาไหม้มือ ทศกัณฐ์กลุ้มใจจึงเสด็จออกว่าราชการ และให้พิเภกน้องชายทำนายฝัน
พิเภกผู้ถือความซื่อสัตย์สุจริต จึงทำนายว่าเป็นลางร้ายจะเกิดสงคราม ฝ่ายยักษ์จะพ่ายแพ้ ส่วนฝันอีกข้อนั้นเพราะนางสำมะนักขาจะชักโยงให้ศึกครั้งนี้มาล้างอสุรพงศ์พรหม วิธีแก้คือ ให้ทศกัณฐ์ส่งนางสีดามเหสีของพระรามที่พาตัวมาคืนกลับไป ทศกัณฐ์พิโรธเข้าไล่ทำร้าย แต่กุมภกรรณและอินทรชิต ขอพระราชทานโทษ ทศกัณฐ์จึงขับไล่ออกจากลงกาและริบทรัพย์สมบัติ อีกทั้งให้นางตรีชฎาไปเป็นข้านางสีดาที่สวนขวัญ
ตอนที่ 2 พิเภกลาชายาและธิดา
ในตอนนี้ได้นำบทพระราชนิพนธ์ ตอนพิเภษณ์ถูกขับของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว มาเป็นหลักในการทำบทผสมผสานกับ บทพระราชนิพนธ์รามเกียรติ์ของรัชกาลที่ ๒ ดำเนินเรื่องตั้งแต่พิเภกกลับไปยังตำหนัก ลานางตรีชฎาและนางเบญจกาย (บทรัชกาลที่ ๖ นางเบญจกายมีชื่อว่า นันทา) สุดท้ายพิเภกก็ถอดมงกุฏเครื่องยศ ให้ตรีชฎาไปคืนทศกัณฐ์ ซึ่งในตอนนี้มิได้นำมาแสดงบ่อยครั้งนัก เพราะตัวพิเภกจะต้องถอดมงกุฏกลางเวที หัวพิโขนเภกนี้สูญสลายไปหมดแล้ว จึงต้องคิดจัดทำขึ้นใหม่ โดยอาศัยข้อมูลจากบันทึกเรื่องราวในสาสน์สมเด็จ ที่สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวิดติวงศ์ เคยทอดพระเนตร
ตอนที่ 3 เนรเทศ
ผู้จัดทำบทได้นำบทพระราชนิพนธ์เรื่องรามเกียรติ์ของรัชกาลที่ ๒ มาเป็นหลัก ซึ่งแตกต่างจากบทรัชกาลที่ ๑ และรัชกาลที่ ๖ ที่ทำให้พิเภกเหาะข้ามไปจากกรุงลงกา บทพระราชนิพนธ์รัชกาลที่ ๒ ให้มโหธร เชิญเสด็จพิเภกลงสำเภาออกไปจากกรุงลงกา เมื่อถึงร่องน้ำฝั่งแผ่นดินที่พระรามพักพลอยู่ จึงใช้เรือสำปั้นโล้ไปปล่อยขึ้นฝั่ง ในการแสดงครั้งนี้นับว่าเป็นฉากสำคัญที่งดงามที่สอดประสานกับการขับร้องที่แสดงความโศกสลด ความเที่ยงตรงในสัจจะสุจริต อันเป็นคุณธรรมของพิเภก
--- พักครึ่งเวลา ---
องก์ที่ 2 หอกกบิลพัท
ตอนที่ 1 พบนิลเอก
นิลเอก เป็นหนึ่งในทหารเอกของพระรามมีหน้าที่เป็นกองตระเวน พาพลวานรมาปฏิบัติหน้าที่ จนได้พบกับพิเภก พิเภกยอมให้นิลเอกจับตัวได้ และได้พาไปเข้าเฝ้าพระราม
ตอนที่ 2 สวามิภักดิ์
ฃนิลเอกพาพิเภกเข้ามาเฝ้า พระรามซักถามถึงสาเหตุในการมาจากลงกา พิเภกก็ทูลสนองตามความจริง มิได้ทูลถึงความดีของตนและให้พระรามนั้นพิสูจน์ดูความจงรักภักดีของตนต่อไปในอนาคต และเปรียบเทียบตนเองว่า “ชนธรรมดาย่อมเห็นว่าสูญสิ้นมูลค่า ต่อเมธีมีปัญญาจึงเห็นว่าค่าทองคง” ซึ่งทำให้พระรามพอพระทัย จึงให้สุครีพนำพระแสงศรไปประกอบพิธีถือน้ำพิพัฒน์สัตยาให้พิเภกดื่มสาบาน แล้วท้ายสุดได้พระราชทานแต่งตั้งให้พิเภกเป็นราชา พร้อมทั้งสวมมงกุฏพระราชทาน
การแสดงในช่วงนี้ เป็นการตัดทอนเนื้อเรื่องให้มีส่วนเกี่ยวเนื่องกับพิเภกโดยดำเนินตาม หลังจากทศกัณฐ์ทูลเชิญท้าวมาลีวราช ซึ่งมีศักดิ์เป็นพระอัยกามาตัดสินความ แต่ด้วยเหตุผลและความจริงปรากฏว่า ทศกัณฐ์เป็นฝ่ายผิด ท้าวมาลีวราชสั่งให้ทศกัณฐ์คืนนางสีดา แต่ทศกัณฐ์ลุอำนาจและพาลผิดไม่ยอมคืน ทั้งไปประกอบพิธีเผารูปเทวดาที่หาดทรายกรด ให้เหล่าเทวดาที่มาเป็นพยานนี้สิ้นชีพ สุดท้ายพระอิศวรให้เทพบุตรพาลีแปลงกายมาทำลายพิธีได้
ตอนที่ 3 มณโฑทูลตัดศึก
เมื่อทศกัณฐ์เสียพิธีมิอาจเผารูปเทวดาที่หาดทรายกรดได้ เพราะเทพบุตรพาลีมาทำลายพิธี จึงกลับเข้าปราสาทชัย นางมณโฑมเหสียุยงว่า การเสียพิธีครั้งนี้น่าจะเกิดจากพิเภกเป็นไส้ศึกบอกความลับ เพื่อให้สิ้นเสี้ยนศึกควรฆ่าพิเภกเสีย ทศกัณฐ์เห็นจริงตามคำทูล จึงสั่งมโหธรให้เร่งจัดทัพ ทศกัณฐ์เองจะออกไปทำศึก ได้ท่วงทีจึงพุ่งหอกกบิลพัทฆ่าพิเภกเสีย
ตอนที่ 4 สนามรบ + แก้หอกกบิลพัท
กองทัพของทั้งสองฝ่ายยกมายังสนามรบ ก่อนยกทัพมาพิเภกทูลพระรามว่า ศึกครั้งนี้ทศกัณฐ์ต้องการที่จะฆ่าตน พระรามจึงสั่งพระลักษมณ์ให้คอยป้องกัน
ทศกัณฐ์ทำอุบายให้พิเภกออกมาหาตน โดยเสกสรรค์ปั้นความถึงสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องที่มิอาจตัดขาดจากกัน ในครั้งนี้จะได้เพิ่ม “ทางเล่น” ของบทตลกฝ่ายยักษ์ให้คอยห้ามพิเภก แต่ในที่สุดเมื่อทศกัณฐ์ได้ท่วงทีก็พุ่งหอกกบิลพัทหมายให้ถูกพิเภก แต่พระลักษมณ์ถลันออกมาป้องกัน จึงถูกหอกล้มสลบลง ฝ่ายทัพทศกัณฐ์ได้ชัยชนะจึงยกกลับเข้าเมือง พิเภกทูลพระรามถึงวิธีแก้ไข โดยให้ไปนำสรรพยา “สังกรณีตรีชวา มูลโคอศุภราช แม่หินบดยาจากท้าวกาลนาด และที่สำคัญคือ ลูกหินบดยาที่ทศกัณฐ์ทำเป็นเขนยหนุนนอนอยู่” หนุมานรับอาสาไปนำสรรพยาสิ่งต่างๆ มาแก้ไข
หนุมานนำสรรพยาแม่หินบดและลูกหินมาถวายพระรามได้ทันเวลา พระรามกล่าวชมหนุมาน ซึ่งในบทโขนไม่ปรากฏบ่อยครั้งนัก และมอบสรรพสิ่งต่างๆ ให้พิเภกประกอบพิธีบดและผสมยาแก้พิษหอกกบิลพัทได้สำเร็จ
พระราม พระลักษมณ์พญาวานร พร้อมกองทัพจึงกลับคืนไปยังพลับพลาที่เขาคันธกาลา ด้วยความสวัสดี
STORY BY L. Patt
ขอบคุณภาพการแสดงจาก เฟซบุ๊ก Khon Performance โขนมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯ