เมื่อดีไซเนอร์อิสระเลือกไม่เป็นอิสระ อะไรจะเกิดขึ้น
เมื่อ Dries Van Noten แบรนด์แฟชั่นอิสระที่ไม่ขึ้นอยู่กับแฟชั่นกรุ๊ปใหญ่ ๆ มาตลอด 32 ปี ตัดสินใจขายแบรนด์ให้กับ PUIG กลุ่มแฟชั่นจากสเปน ผู้เป็นเจ้าของแบรนด์ Carolina Herrera, Jean Paul Gautier, Nina Ricci ทั้งยังเป็นผู้ผลิตน้ำหอมรายใหญ่ของโลก Next Chapter ของ Dries Van Noten จะเป็นอย่างไรต่อ..
รู้สึกเหมือนรอให้ตัวเองตกตะกอนกับทุกอย่าง พร้อมกับที่คุณ Dries โชว์คอลเลคชั่นใหม่ เสื้อผ้าสุภาพบุรุษ สปริง/ซัมเมอร์ 2019 ที่ปารีสหมาด ๆ ก่อน ถึงค่อยเขียนถึงเรื่องนี้ยังไงพิกล
หลายคนน่าจะได้ยินข่าวที่ฮือฮาที่สุดในโลกแฟชั่นเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เรื่องที่ Dries Van Noten แบรนด์แฟชั่นที่ว่ากันว่าเป็นหนึ่งในไม่กี่แบรนด์อิสระซึ่งไม่ขึ้นต่อกรุ๊ปแฟชั่นใหญ่ใด ๆ ที่เหลืออยู่ในวงการแฟชั่น ตัดสินใจขายหุ้นใหญ่ ให้กับบริษัทแฟชั่นใหญ่จากสเปนชื่อ PUIG ซึ่งจะว่าเซอร์ไพรส์ก็เซอร์ไพรส์อยู่เล็ก ๆ แต่ก็ไม่ได้แปลกใจชนิดที่คาดไม่ถึงขนาดนั้น เราคงจะเคยพูดถึง Dries Van Noten ในคอลัมน์นี้อยู่บ้างเรื่อย ๆ เนื่องจากว่ารักในผลงานและความเป็นดีไซเนอร์อิสระของพี่มาก ๆ มาตลอด แต่เล่าขยายความคร่าว ๆ อีกทีเพื่อให้เข้าใจว่าทำไมการขายหุ้นของคุณดรีส์จึงกลายเป็นข่าวใหญ่
Dries Van Noten ก่อตั้งแต่ห้องเสื้อในชื่อตัวเองขึ้นมาตั้งแต่ช่วงปลายยุค80 โดยเริ่มจากเสื้อผ้าผู้ชายก่อน จากนั้นของคอลเลคชั่นเสื้อผ้าผู้หญิงค่อยตามมา พอเริ่มมีสตางค์ สิ่งเดียวที่ดรีส์ทำเพื่อพีอาร์ตัวเองก็คือการทำแฟชั่นโชว์ โดยทำโชว์แค่ปีละสี่ครั้ง คือของผู้ชายสองฤดูกาลและของผู้หญิงสองฤดูกาล เขาค่อย ๆ สร้างแบรนด์และเติบโตมาด้วยทางเลือกที่เลือกเองอย่างอิสระในแบบนั้น ดรีส์พูดเสมอว่า “เราเติบโตอย่างเป็นธรรมชาติและคว้าโอกาสที่เข้ามาเท่าที่เห็นว่าดี” โดยไม่ต้องมาพะวงว่าแต่ละปีจะโตกี่เปอร์เซ็นต์ หรือต้องขยายแบรนด์ให้เติบใหญ่ด้วยร้านสาขาที่เพิ่มมากขึ้นอีกกี่ร้าน ๆ - นั่นจนกระทั่งสัปดาห์ที่แล้ว ที่ทุกอย่างอาจจะเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล
การตัดสินใจขายหุ้นใหญ่ให้กับกลุ่มธุรกิจแฟชั่นใหญ่ มองในมุมหนึ่งในฐานะแฟนอย่างเรา เรารู้สึกใจแป้วอยู่เหมือนกัน ที่สุดท้ายดูเหมือนว่าคุณดรีส์ไม่สามารถพาแบรนด์นี้ไปต่อในฐานะแบรนด์แฟชั่นอิสระที่บริหารงานอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดด้วยตัวดีไซเนอร์เองอย่างที่เคยเป็นมา (ซึ่งนั่นคือเหตุผลหนึ่งนะ ที่เสื้อผ้าของ Dries Van Noten แพง..อย่างสมเหตุสมผล) แต่ในรายละเอียดของการขายธุรกิจไปโดยเหลือหุ้นเล็กไว้ถือเองแค่จำนวนหนึ่งนั้น คุณดรีส์ใช้คำว่า สิ่งที่ทำไปนั้น “ไม่ใช่เพื่อการเติบโตในระยะสั้น แต่เพื่อความอยู่รอดในระยะยาว” เราอ่านเจอเหตุผลนี้ก็พอเข้าใจได้ในทันที เพราะอย่างแรก คุณดรีส์ไม่มีทายาทที่จะมาสืบทอดกิจการต่อ (ลูกน่ะไม่มีแน่ ส่วนหลานเราก็ไม่แน่ใจว่าดรีส์มีพี่น้องอย่างไรไหม แต่เอาเป็นว่าไม่เห็นภาพว่าใครจะมาสืบทอดกิจการต่อจริง ๆ) เพราะฉะนั้น ถ้าจะคงความเป็น independent brand ต่อไปได้ คุณดรีส์ก็คงจะคงไว้ได้ตราบเท่าที่เขายังมีชีวิตอยู่ สุดท้ายก็อาจจะต้องปิดแบรนด์ไป ซึ่งในอดีตก็พอมีตัวอย่างให้เห็นนะ ที่เมื่อดีไซเนอร์จากไป แบรนด์ก็ต้องปิดตัวลงไปโดยปริยาย
แต่เพราะคุณดรีส์สร้างธุรกิจขึ้นมาใหญ่โต มีทีมงาน ลูกน้อง และซัพพลายเออร์ในความดูแลมากมายหลายร้อยชีวิต ทั้งที่สำนักงานใหญ่ในเมือง Antwerpประเทศเบลเยี่ยม ที่ร้านสาขาที่มีอยู่ไม่กี่แห่งในโลก ซัพพลายเออร์อีกหลายประเทศทั่วยุโรป ไปจนถึงทีมเย็บผ้ามือทองที่กัลกัตตา อินเดียอีก หากคุณดรีส์ไม่อยู่ แบรนด์ต้องปิดลงไป แล้วคนเหล่านี้จะเป็นไงต่อ..ก็คงต้องแยกย้ายกันไปทำงานที่อื่นงั้นหรือ
คุณดรีส์ให้สัมภาษณ์กับ Sarah Mower นักวิจารณ์แฟชั่นของVogue.com หลังเวทีแฟชั่นโชว์เสื้อผ้าผู้ชาย คอลเลคชั่นสปริง/ซัมเมอร์ 2019ที่เพิ่งเดินกันไปหมาด ๆ ที่ปารีสสัปดาห์ที่แล้วว่า ในฐานะที่เป็นบริษัท เราต้องมีอนาคตและเติบโตต่อไป ซึ่งตลอด 32 ปีที่ทำงานมาในฐานะแบรนด์แฟชั่นอิสระ เขาได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเขาทำมันอย่างอิสระได้ และจากจุดนี้เป็นต้นไป เขาอยากพิสูจน์ต่อไปด้วยว่า การเอาแบรนด์เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของแฟชั่นกรุ๊ปขนาดใหญ่ก็เป็นสิ่งที่เวิร์คได้เช่นเดียวกัน ..คุณดรีส์ให้ความเห็นถึงเรื่องนี้แบบอารมณ์ดีมีความสุขซะด้วยสิ
แต่คำถามต่อมาสำหรับแฟนอย่างเราก็คือ เราจะเห็น Dries Van Noten the brand ถูก commercialize มากขึ้นในอนาคตไหม เริ่มจากการทำผลิตภัณฑ์น้ำหอมออกมาอีกหนึ่งไลน์ เพราะ Puig เป็นแฟชั่นกรุ๊ปที่เติบโตมาจากธุรกิจน้ำหอม ต่อด้วยการมีร้านสาขาที่ผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ดเหมือนที่แบรนด์ใหญ่ ๆ ยอดขายหลายพันล้านดอลลาร์เขาเป็นกัน ..ซึ่งนั่นก็จะนำไปสู่ความเปลี่ยนแปลงอย่างต่อมา ราคาของเสื้อผ้าและทุกผลิตภัณฑ์ที่พะยี่ห้อ Dries Van Noten จะขยับสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญหรือไม่ และที่เราเป็นห่วงอีกเรื่องก็คือ คุณดรีส์ซึ่งทำงานอย่างเป็นอิสระมาตลอดแบบเป็นนายตัวเองร้อยเปอร์เซ็นต์ จะโอเคไหมกับการที่ตัวเองกลายเป็นผู้ถือหุ้นรายย่อย (ที่ยังคงเป็น Creative Director และ Chairman of the Board) ซึ่งแปลว่า จากที่เคยไม่มีเจ้านาย ตอนนี้มันก็เหมือนจะมีแล้วนะ
ถามคำถามเหล่านี้เสร็จ เราก็ได้แต่หวังว่า Puigจะทำได้อย่างที่ Richemont แฟชั่นกรุ๊ปใหญ่เว่อร์จากสวิสเซอร์แลนด์ (เจ้าของแบรนด์จิวเวลรี่และนาฬิกาหรูมากมายหลายแบรนด์) ที่ซื้อกิจการของ Azzedine Alaïa ดีไซเนอร์ระดับไอคอนผู้ล่วงลับไปตั้งแต่ปี 2007 และเคารพในความติสต์ของ Alaïaผู้ก่อตั้งแบรนด์อย่างถึงที่สุด ด้วยการไม่บังคับเขาเลยถ้าเขาจะไม่อยากทำแฟชั่นโชว์ในช่วงแฟชั่นวีค แต่ทำเมื่อตัวเองพอใจ ในเวลาที่ตัวเองเลือกอยากจะทำ ซึ่งเป็นตอนไหนก็แล้วแต่ลุงสะดวก และรักษาวิถีการทำงานของสตูดิโอของ Azzedineไว้ตามเดิม ทั้งตอนที่เขายังมีชีวิตอยู่ แม้ไม่ใช่เจ้าของแล้ว และจนถึงบัดนี้หลังจากที่เขาเสียชีวิตเมื่อปลายปีที่แล้ว
ถ้า Puig ยังคงยอมให้ทุกอย่างคงเดิมที่ Dries Van Noten ก็แปลว่า เราจะยังเห็น Dries Van Noten เป็นแบรนด์ที่ไม่ซื้อโฆษณาในสื่อ ทำแฟชั่นโชว์ปีละสี่ครั้ง คุณดรีส์ผู้เป็นดีไซเนอร์ยังคงสร้างสรรค์ผลงานด้วยอิสรภาพทางความคิด ไม่ขยายกิจการเติบโตวูบวาบแบบเปิดร้านสาขาปีละสี่ห้าสาขา ผ่านไปไม่กี่ปีมีสาขาทั่วทุกมุมโลก และยังมีเสื้อผ้าในราคาที่แพงอย่างสมเหตุสมผลกับคุณภาพและเอกลักษณ์ของงานดีไซน์ของเขา..เหมือนเช่นเคย เราพอจะหวังอะไรแบบนั้นจากโลกธุรกิจที่ย่อมต้องแสวงหากำไรเป็นที่ตั้งได้ไหมนะ
STORY BY ขเจน
ขอบคุณภาพจาก FB @Dries Van Noten