รับได้แค่ไหนถ้าไอเท็มเด็ดที่คุณกำลังจะซื้อมีตำหนิ
เคยไหมที่ถูกใจเสื้อผ้า รองเท้า หรือกระเป๋าใบนึงเอามากๆ แต่ไอเท็มเจ้ากรรมดันมีตำหนิ เราจะให้รอยขีดข่วน หรือรอยเปื้อนเล็กๆ กำหนดชะตาชีวิตของมันเลยไหม หรือเราจะทำใจแข็งมองข้ามมันไป
ผู้เขียนมีรุ่นน้องอยู่คนหนึ่ง นางนิยมซื้อสินค้าแบรนด์เนมเบอร์ใหญ่ เน้นหนักไปทางแอคเซสซอรี่ เช่นรองเท้า กระเป๋า และเข็มขัด ฯลฯ น้องคนนี้ นางมีความ QC ละเอียดจริงจังทุกครั้งที่นางซื้อของ ซึ่งเราก็เห็นอยู่บ่อยครั้ง (เพราะถูกลากไปเป็นพยานในการจับจ่ายของนางอยู่เนือง ๆ) คือสมมติซื้อรองเท้าซักหนึ่งคู่ นางจะหยิบขึ้นมาเพ่งดูมันทุกมุมทุกองศาของทั้งสองข้างจนกว่าจะหารอยขีดข่วนใด ๆ ไม่เจอนั่นแหละ นางถึงยอมจ่ายสตางค์ซื้อคู่นั้น
ล่าสุดที่ไปกับนางมา นางไปถูกใจเข็มขัดเส้นหนึ่งในบูติคของแบรนด์แฟชั่นแบรนด์ใหญ่มากจากอิตาลี (ที่เราจะไม่เอ่ยชื่อ แต่มีคำใบ้ให้ว่า Harry Styles ชอบใส่แบรนด์นี้ขึ้นคอนเสิร์ตจนได้เป็นพรีเซ็นเตอร์ไปแล้วในตอนนี้ 555) พอจะจ่ายสตางค์ ดั๊นพบว่าที่ปลายเข็มขัด(หนังสีดำ)มีรอยข่วนที่ค่อนข้างเห็นชัด(เมื่อเพ่ง..ถ้าไม่เพ่งมองไม่เห็น เพราะมันดำ) นางก็ตัดใจไม่ซื้อเข็มขัดเส้นนั้นซะงั้น
นางให้เหตุผลว่า เอ้าคุณพี่ ก็ของไม่ใช่ราคาถูก ๆ ถ้าจะจ่ายเงินให้ของที่มีตำหนิมันก็ไม่ใช่เรื่อง ซึ่งก็ฟังดูมีเหตุมีผลอยู่ แล้วก็เป็นอย่างที่เล่าไปว่า หลายครั้งเหมือนกันที่นางไปเจอของที่ถูกใจและอยากได้มากกกก ก่อนเข้าร้าน แต่พอพบว่ามีรอยขีดข่วนอยู่เล็กน้อย นางสามารถตัดใจและไม่ซื้อได้เดี๋ยวนั้น หรือไม่ก็รอให้ทางร้านสั่งของไซส์เดิมชิ้นใหม่เข้ามา นางจึงค่อยมาซื้อเอาใหม่ หรือไม่ก็ไปฝากเพื่อนสจ๊วตให้ไปส่องและเสาะหาให้นางในต่างแดนแทน คือถ้าเป็นกรณีไปฝากใครให้ตามหาต่อ หรือไปตามหาเอาเองต่อเองก็แสดงว่าอยากได้มากจริง ๆ แต่รับตำหนิไม่ได้อย่างที่ว่า แต่ก็มีอีกหลายหน ที่พอไม่ได้ซื้อแล้ว หลังจากนั้นก็หมดความอยากได้ไปเฉย ๆ กรณีนี้แปลว่าที่จะซื้อเมื่อสักครู่เป็นอารมณ์ชั่ววูบสินะ 55
อันนี้เล่าเรื่องคนอื่นให้ฟังพอหอมปากหอมคอ แต่ถ้าถามตัวผู้เขียนเอง บอกเลยว่าไม่เคยคิดมากกับรอยข่วนเหล่านี้ อาจจะด้วยเหตุผลว่าเป็นของคนซื้อของแบรนด์เนมอยู่บ้าง แต่ไม่ได้ซื้อชิ้นที่แพงมากชนิดที่จะทำให้คิดว่า รับไม่ได้ที่จะเสียเงินมากเท่านั้นแล้วกลับต้องได้ของมีตำหนิหรืออะไร เพราะบางตำหนิ เราใช้ ๆ ไปเรื่อย ๆ มันก็มา เผลอ ๆ จะมาเยอะกว่าที่ได้มาตอนซื้ออีก ยกตัวอย่างก็เช่น จำได้ว่าตอนซื้อกระเป๋าตังค์ใบที่ใช้อยู่ทุกวันนี้จากร้าน Maison Martin Margiela เมื่อหลายปีก่อน เราพบว่า ใบที่หยิบดูและตัดสินใจซื้อมีรอยเหมือนเล็บขูดเป็นทางอยู่หนึ่งรอย ไม่ใหญ่มาก ก็คิดว่าซื้อได้นะไม่ติด แต่ก็ถามคนขายสักหน่อยละกัน ว่ามีใบใหม่ไหม ซึ่งปรากฏว่าเขามี ก็เลยได้ซื้อใบใหม่ที่ไม่มีรอยกลับมา แต่ถ้าไม่มีก็กะว่าจะซื้อใบที่มีรอยแหละ เพราะถูกใจแล้ว และตอนนั้นมันคือร้านที่เบลเยี่ยม ถ้าไม่ซื้อก็ไม่รู้จะไปสรรหาที่ร้านสาขาไหนในโลกได้อีก (เนื่องจากอย่างมากก็จะมีทริปแบบนี้ปีละครั้งเท่านั้น) ในเมืองไทยก็ยังไม่มีร้านนี้เปิดเหมือนตอนนี้ด้วย
หรือเอาตัวอย่างที่ล่าสุดที่สุดก็คือ เมื่อปีที่แล้วตอนไปญี่ปุ่น เราไปคว้าเสื้อของ Commedes Garcons มาตัวหนึ่งที่ร้าน Ragtag ซึ่งเป็นร้านขายสินค้าแบรนด์มือสอง เสื้อตัวนี้มีตำหนิอยู่สามที่ตามที่ร้านระบุไว้ในtag แต่เราหาเจออยู่ที่เดียวคือตรงคอปกเสื้อซึ่งมีคราบเหลืองจาง ๆ เหมือนซักไม่ออก เราดูแล้วก็รู้สึกว่า รอยที่เห็นมันก็รอยด้านใน ตอนใส่ก็มองไม่เห็นนะ แล้วราคาก็เร้าใจสุด (เสื้อกอมม์อะไรตัวละพันกว่าบาทเอง) ก็เลยตัดสินใจซื้อมาแบบไม่คิดอะไรมาก พอมาถึงบ้านเราก็เอาไปซักตามปกติ ผลปรากฏว่าเราสามารถขยี้รอยด่างที่คอออกได้จนเกลี้ยงใสสะอาดเหมือนใหม่ งงเลย แปลว่าเสื้อมือสองตัวนี้ เจ้าของเดิมใส่เสร็จแล้วเอามาขายเลยโดยไม่ซักก่อน มีรอยซึ่งทำให้ขายได้ราคาถูก ๆ ก็ไม่แคร์งั้นหรอเนี่ย เลยกลายเป็นโชคดีของเราไปด้วยซ้ำ ที่ตัดสินใจไม่คิดมากกับตำหนิแล้วก็ได้ของดี (มีตำหนิแต่สามารถกำจัดได้) ในราคาไม่แพงติดมือกลับบ้านจากญี่ปุ่น
สำหรับเราส่วนตัว เราคิดว่า ถ้ารอยตำหนิบนเสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋านั้นมันเป็นรอยที่ดูเล็กน้อยชนิดที่มันไม่ถึงกับเรียกว่าเสียหาย แล้วของชิ้นนั้นก็อยู่ในราคาที่เราพอใจ เราพูดได้ว่าเราซื้อได้ถ้าอยากได้มันจริง ๆ แต่อันนี้ก็คงจะนานาจิตตังสำหรับคนอื่น ๆ เหมือนรุ่นน้องคนนั้นที่ยังไง้ยังไงก็ซื้อไม่ได้ถ้ามีรอยแม้เพียงนิดเดียว ..ซึ่งจริง ๆ เราก็ยังคิดแทนมันอยู่ว่า ถ้าไม่ซื้อของแพงก็อาจจะสิ้นเรื่องตั้งแต่แรกรึเปล่านะ 555
STORY BY ขเจน