ทำไมเสื้อผ้าล้นตู้ก็ยังอยากซื้อเพิ่ม
เรามีเสื้อผ้าครบทุกแบบทุกสไตล์ที่อยากได้แล้ว..ใช่มั้ย!?“..it was all a total license to shop. Which is a really big thing to say when most women, past a certain point, have all the clothes they need. This collection proved the point: When designers are really good, they give us what we didn’t know we wanted.”
หลังเหตุการณ์นั้น พอได้มาอ่านคำวิจารณ์ของ Sarah Mower ซ้ำอีกที (ชอบ DVN ไงจึงอ่านซ้ำ) แล้วก็ฉงนใจในความจริงแท้ของสิ่งที่ซาร่าห์พูด ว่าถ้าดีไซเนอร์เก่งพอ เขาจะสามารถทำเสื้อผ้าออกมาในแบบที่เราไม่เคยรู้มาก่อนว่าเราอยากได้ ซึ่งจริง ๆ นี่คือสิ่งที่อยู่ในห้วงความคิดของ Steve Jobs นะตอนที่เค้าทำไอโฟนและอื่น ๆ ที่ Appleสตีฟเคยพูดว่า มันยากจะตายที่จะไปนั่งสร้างสินค้าจากการไปถามความต้องการของลูกค้า เพราะบางทีลูกค้าก็ไม่รู้หรอกว่าเค้าต้องการอะไร จนกว่าเราจะมีของไปให้เค้าดูจริงตรงหน้า ที่น่าสนใจกว่านั้นคือ ถ้าเราไปถามเค้าก่อนว่าอยากได้อะไร จากนั้นเรากลับมานั่งทำ กว่าจะผ่านกระบวนการผลิตจนออกมาเป็นสินค้า เผลอ ๆ ความต้องการของเค้าก็เปลี่ยนแล้ว เพราะฉะนั้นเราต้องทำในสิ่งที่เราคิดว่าดีและพัฒนามันไปให้สุดทางสิ นั่นแหละคือสาเหตุที่เรามีสมาร์ทโฟนหน้าจอสัมผัสใช้กันอยู่ทุกวันนี้
กลับมาที่เรื่องแฟชั่น เหตุและผลของเรื่องนี้ทั้งหมดอีกเหมือนกันละมั้งที่ทำให้วงจรแฟชั่นต้องหมุนไปอย่างต่อเนื่องด้วยการโชว์คอลเลคชั่นใหม่กันทุก ๆ หกเดือน (จริง ๆ ถ้านับคอลเลคชั่นอื่นนอกเหนือจากคอลเลคชั่นหลัก เช่น pre-fall หรือ cruise ด้วยมันก็จะถี่กว่าหกเดือนเข้าไปอีกนะ) เพราะในที่สุดแล้ว ถ้าทุกคนซื้อเสื้อผ้าตามที่จำเป็นอย่างเดียว อุตสาหกรรมแฟชั่นคงไม่มีเงินสะพัดมากเท่านี้ และร้านฟาสต์แฟชั่นอย่าง Zara คงไม่ต้องมีลูกล่อลูกชนใส่ลูกค้าด้วยการหยิบของมาโชว์แป๊บ ๆ แล้วหยิบออก เสร็จแล้ววันดีคืนดีก็หยิบมาแขวนให้เห็นใหม่อีกภายหลัง เพื่อกระตุ้นให้ลูกค้าต้องซื้อเลยเดี๋ยวนั้นเมื่อเห็น เพราะ (ลูกค้าก็จะรู้สึกว่า) ไม่งั้นมันจะไม่อยู่แล้วนะสรุปได้เหมือนเดิมว่า แฟชั่นใช้ desire หรือภาษาไทยขอแปลว่า “ความอยากได้ของใหม่ที่เราไม่เคยรู้ว่าอยากได้มาก่อนจนกระทั่งมาพบ/เห็น/จับ/ลอง” ของพวกเราเป็นเครื่องมือทำเงิน แต่ถามว่าเราจะกำเงินแน่นไม่ให้หลุดออกจากกระเป๋าสตางค์ของเราเองได้หรือไม่ นั่นก็เป็นความสามารถในการอดทนอดกลั้นส่วนบุคคลแล้วล่ะ 55

ยกคำวิจารณ์ของ Sarah Mower นักวิจารณ์แฟชั่นของ Voguerunway.com ที่เขียนถึงคอลเลคชั่นล่าสุดของ Dries Van Noten แบรนด์โปรดของเราที่เพิ่งเดินโชว์กันไปหมาด ๆ ที่ปารีสแฟชั่นวีคเมื่อปลายเดือนที่แล้วมาเล่าสู่กันฟังในวันนี้ก็ด้วยความฉงนใจโดยเฉพาะฉงนใจว่าเราเองก็มาถึงจุดที่คิดว่า เฮ้ย เราคงมีเสื้อผ้าทุกสไตล์ที่ควรมีหรืออยากมีครบหมดแล้วล่ะ คือยกตัวอย่างว่าช่วงนึงที่เราชอบใส่เสื้อเชิ้ตสีขาวมาก เราก็จะมีทั้งออกซ์ฟอร์ดแขนยาว (มีสามตัวแต่ต่างกันที่ผ้าและขนาดของปก) ออกซ์ฟอร์ดแขนสั้น (ชอบมากและมีห้าตัวเหมือนกันเป๊ะ ใช้หมุนเวียนแค่สาม อีกสองยังอยู่ในห่อ) และเชิ้ตขาวคอ (มีสามตัว เหมือนกันสอง อีกตัวคนละทรง) อีกช่วงชอบเสื้อยืดสีน้ำเงินเข้มมาก ก็จะทยอยซื้อเสื้อยืดคอกลมสีนี้ในเฉดน้ำเงินเข้มแบบต่าง ๆ จนมีไม่รู้กี่ตัว ฯลฯ ..ใส่เครื่องหมาย “ฯลฯ” เพราะสามารถอธิบายถึงเสื้อแบบอื่น ๆ ไปได้อีกหลายแบบ แต่สรุปตรงนี้ได้อีกทีว่า เราคิดว่าเรามีเสื้อผ้าที่เราอยากมีน่าจะครบทุกแบบทุกสไตล์แล้วจริง ๆ แต่วันดีคืนดีเราก็ยังเผลอตัวเผลอใจซื้อเสื้อผ้าใหม่ ๆ เข้าบ้านได้อีกไม่จบสิ้นตัวอย่างที่ชัดเจนล่าสุดเลยก็คือ วันก่อนถูกลากไปเดิน Uniqlo เป็นเพื่อนพี่สาวคนสวยที่ออฟฟิศ ผลปรากฏว่าไปเจอเสื้อเชิ้ตของ Uniqlo x J.W.Anderson ที่..อธิบายยังไงดี มันเป็นเสื้อเชิ้ตสีฟ้าที่เล่นสีตัดกันด้วยการใช้ผ้าขาวตรงกระเป๋าเสื้ออกซ้ายและตรงผ้าชิ้นหลังทั้งชิ้น ซึ่งมันเป็นสไตล์เรามาก ถ้าไม่ใส่อะไรเรียบไปเลยเราก็จะชอบเสื้อที่มีลูกเล่นแบบนี้แหละ ลูกเล่นของการใส่รายละเอียดที่ไม่ค่อยสมมาตรกัน ถึงจุดนั้นก็ถูกคุณพี่นางยุให้ไปลอง ลองเสร็จก็ชอบแหละ (แหง!) แต่คิดว่าจะไม่ซื้อดีกว่า เสื้อผ้าเต็มบ้านไปหมด ปรากฏว่าพี่คนเดิมก็รัวมือใส่เรียบ ๆ ว่า “เนี่ยเหลือเบอร์ S อยู่แค่สองตัว เธอไม่ซื้อวันนี้ มาวันหลังมันหมดไม่รู้ด้วยนะ” โอเค ซื้อก็ได้!

