สองน่องท่องตามรอยพระบาท ที่โลซานน์
ตามรอยเสด็จฯ ที่เมืองโลซานน์ประเทศสวิตเซอร์แลนด์
โลซานน์ (Lausanne) เป็นเมืองสำคัญของแคว้นโวด์ (Canton de Vaud) และเป็นเมืองหนึ่งในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ที่ได้เข้ามามีความสำคัญกับประวิติศาสตร์ชาติไทยเป็นอย่างยิ่งเพราะเป็นเมืองที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวถึงสองพระองค์ได้เคยประทับอยู่ร่วมกับสมเด็จพระราชมารดาและสมเด็จพระโสทรเชษฐภคินีเป็นเวลานานกว่า 2 ทศวรรษ จนอาจกลาวได้ว่าที่นี่คือ “บ้าน” หลังที่สองของพระองค์ท่านย้อนไปเมื่อปี พ.ศ. 2540 ผมมีโอกาสไปใช้ชีวิตที่โลซานน์อยู่ระยะหนึ่งเพื่อไปเรียนหนังสือ และสิ่งที่ผมตั้งใจจะทำให้สำเร็จก็คือการตามรอยพระบาทไปตามสถานที่ต่าง ๆ ทั่วโลซานน์ย้อนเวลาไปเมื่อ 20 ปีที่แล้ว ในสมัยที่อินเทอร์เน็ตยังเป็นระบบ Dial up ไม่รวดเร็วปรูดปราดเช่นทุกวันนี้ รวมทั้งข้อมูลต่าง ๆ ยังมีไม่มาก การตามรอยพระบาทในครั้งนั้นจึงเป็นเหมือนการสืบรอยเลยทีเดียวแหล่งข้อมูลที่ผมอ้างอิงเป็นหลักคือหนังสือ แม่เล่าให้ฟัง” ฉบับพิมพ์ครั้งแรกในปี พ.ศ. 2523 และ“เจ้านายเล็ก ๆ ยุวกษัตริย์” ฉบับพิมพ์ครั้งแรกในปี พ.ศ. 2530 ซึ่งทั้ง 2 เล่มล้วนเป็นพระราชนิพนธ์ในสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ที่ทรงพระกรุณาถ่ายทอดพระราชประวัติและพระราชจริยวัตรสมาชิกใน “ราชสกุลมหิดล” พระราชทานผู้อ่านและแล้วการตามรอยพระบาทในปี พ.ศ. 2540 ก็เริ่มขึ้นในเดือนมีนาคมในวันเปลี่ยนฤดูจากหนาวเข้าสู่ใบไม้ผลิ เมื่ออากาศในโลซานน์เริ่มอุ่นขึ้น และวันนั้นคือวันเกิดของผมพอดีรถเมล์สาย 5 ขาประจำพาผมเดินเดินทางจากบ้านผมในเขตเอปาแล็งชส์ (Épalinges) มาตั้งต้นที่ปลาซ แซ็งต์ ฟรองซัวส์ (Place St. François) อันเป็นจุดกลางเมือง และผมตั้งใจว่าผมจะ “เดิน” ตามรอยพระบาทไปเรื่อย ๆ เรียงลำดับตามเหตุการณ์เท่าที่สามารถจะไปได้ในวันนี้“เมื่อเรือถึงเจนัว (Genoa) แล้ว คณะเดินทางขึ้นรถไฟไปโลซานน์ (Lausanne) ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ครั้งแรกที่ทรงพักเมืองนี้ ทูลหม่อมทรงเลือกโรงแรมที่ใหญ่ที่สุดและโก้ที่สุดเป็นที่พัก นั่นคือโรงแรมโบริวาจ” จากพระราชนิพนธ์แม่เล่าให้ฟังทำให้เราทราบว่า “ทูลหม่อม” หรือสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนกได้ทรงพาสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีเสด็จจากประเทศไทยมายุโรปก่อนไปยังสหรัฐอเมริกาหลังจากที่ทั้ง 2 พระองค์ทรงรับพระราชทานน้ำพระมหาสังข์จากพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ในพิธีอภิเษกสมรสที่กรุงเทพ ฯและโรงแรมโบริวาจ (Beau Rivage) แห่งนี้ที่ “ใหญ่ที่สุดและโก้ที่สุด” เป็นที่ทรงเลือกประทับเพื่อฮันนีมูนตึกอาร์ตเดโคและนีโอบาโร้กสีเหลืองนวลแห่งนี้ตั้งตระหง่านคู่เมืองโลซานน์มาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1861 ด้านหลังเป็นเนินส่วนด้านหน้าคือทะเลสาบเลม็อง (Lac Léman) อันสวยงามและไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไหร่โรงแรมนี้ก็ยังยังครอบครองตำแหน่งโรงแรมสำคัญคู่บ้านคู่เมืองของโลซานน์เสียดายว่าผมไม่มีโอกาสเห็นพระบรมฉายาลักษณ์ของทั้ง 2 พระองค์ที่ฉายกับโรงแรมนี้เลย แม้ในหนังสือแม่เล่าให้ฟังก็ไม่ได้เผยแพร่ไว้ เมื่อลองพยายามค้นหาจากแหล่งอื่น ๆ ก็ไม่พบ แต่ขณะที่ผมยืนอยู่ตรงนั้น ผมคิดว่าที่นี่คือจุดเริ่มต้นของครอบครัวเล็ก ๆ ครอบครัวหนึ่งที่ต่อมาคือครอบครัวที่สร้างคุณูปการอันใหญ่หลวงต่อผืนแผ่นดินไทยโลซานน์เป็นเมืองไม่ใหญ่การเดินไปไหนมาไหนจึงไม่ยาก นอกเสียจากว่าจะเป็นคนแพ้เนิน ความที่ตั้งอยู่บนเชิงเขา และเนินสูงต่ำไล่ระดับก่อนลาดลงสู่ทะเลสาบ แต่ในวันอากาศเย็นเช่นนี้ก็ไม่มีปัญหา
จากโรงแรมโบริวาจ สถานที่ที่ผมเลือกเดินต่อไปก็คืออพาร์ตเมนท์เลขที่ 16 ถนนทิสโซ่ต์ (Apartement Numéro 16, Rue de Tissot) ซึ่งสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ทรงบรรยายเรื่องอพาร์ตเมนท์ เลขที่ 16 นี้ไว้ว่า“แฟลตที่แม่เช่าไว้อยู่ที่ 16 ถนนทิสโซ่ต์ อยู่ไม่ไกลจากใจกลางเมืองเดินสัก 15 นาทีก็ถึง แต่ก็เงียบดีเป็นตึกใหญ่ที่มีแฟลตหลายชุด แม่เช่าแฟลตหนึ่งที่อยู่ชั้นล่างเพราะเกรงว่าลูกอาจรบกวนคนที่พักอยู่ข้างใต้ด้วยการวิ่งหรือกระโดด”ทั้ง 4 พระองค์ทรงย้ายมาประทับที่นี่ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2476 และนับเป็น “บ้าน” หลังแรกของครอบครัวมหิดลในประเทศสวิตเซอร์แลนด์เพราะก่อนหน้านี้เมื่อเสด็จลี้ภัยการเมืองจากประเทศไทยมาถึงโลซานน์ใหม่ ๆ นั้นยังทรงหาแฟลตที่ประทับไม่ได้จึงต้องประทับพักในโรงแรมมอนตานาและก็เป็นอย่างที่สมเด็จกรมหลวง ฯ ทรงบรรยายไว้ เพราะจากโรงแรมโบริวาจนั้น ผมเดินกลับมาหน้าไปรษณีย์กลางของโลซานน์และเดินต่อมายังถนนทิสโซ่ต์โดยใช้เวลา 15 นาทีพอดีบรรยากาศถนนทิสโซ่ต์ยังคงร่มรื่นเช่นเดิม มีเพียงป้ายชื่อถนนที่เปลี่ยนจาก Rue de Tissot ไปเป็น Avenue Auguste-TISSOT ส่วนตัวแฟลตเลขที่ 16 นั้นยังคงสภาพเดิมอย่างที่เห็นในรูปทุกประการอาคารโบราณสีเหลืองอ่อนยังตั้งอยู่อย่างสงบเงียบแบบบ้านประชาชนคนธรรมดาสามัญ แต่ใครจะรู้ว่าบ้านหลังนี้คือสถานที่ที่รัฐบาลไทยได้ส่งพระยาศรีธรรมาธิเบศร (จิตร ณ สงขลา) และนายดิเรก ชัยนาม มากราบทูลอัญเชิญพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอานันทมหิดล ให้ทรงรับราชสมบัติและครองราชย์เป็นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 8 ในพระราชวงศ์จักกรีในขณะนั้นทรงมีพระชนมายุเพียง 9 พรรษา หลังจากที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ทรงสละราชสมบัติเมื่อวันที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2477ถ้ามีโอกาสได้อ่านพระราชนิพนธ์เจ้านายเล็ก ๆ–ยุวกษัตริย์ จะเห็นพระบรมฉายาลักษณ์ที่ทั้ง 2 พระองค์ทรงฉายที่แฟลตแห่งนี้เยอะมาก ๆ ไม่ว่าจะเป็นขณะประทับบนเฉลียง ขณะทรงต่อรถไฟและเล่นรถไฟด้วยกัน หรือทรงถูระเบียงในหน้าร้อน เพราะ “แฟลตนี้มีเฉลียงยาว ถ้าอากาศดีเราชอบอยู่ที่เฉลียงนี้กัน โดยเฉพาะน้อง 2 คน” ตามที่สมเด็จกรมหลวง ฯ ทรงบันทึกไว้ ทรงถูระเบียงในหน้าร้อนพระบรมฉายาลักษณ์องค์สำคัญ ๆ ที่เผยแพร่มาก ๆ ก็คือเมื่อทรงจักรยานสามล้อกันทั้ง 3 พระองค์พี่น้อง ซึ่งก็คือที่บริเวณถนนทิสโซ่ต์แห่งนี้ และนั่นคือภาพแห่งความสุขก่อนที่ “ภัยการเมือง” ที่ทรง “ลี้” หนีมาไกลแสนไกลจะตามมาถึง และต้องทรงแบกภาระอันยิ่งใหญ่ในขณะที่พระชนมพรรษาเพียงน้อยนิดสิ่งที่ผมจำได้คือผมลงไปกราบหน้าแฟลตเลขที่ 16 เพราะผมถือว่าที่นี่เคยเป็นพระราชฐานที่พระมหากษัตริย์ของผมเคยประทับ และเป็นที่ที่ทุกพระองค์ทรงได้รับความสุขมาก ๆ แม้จะในช่วงเวลาสั้น ๆ ก็ตาม
ถ้าไปถึงแฟลตเลขที่ 16 ถนนทิสโซ่ต์แล้ว อย่าลืมแวะไปที่ร้าน อะเตอลิเย่ร์ เดอ ชง (Atelier de Jong) ซึ่งตั้งอยู่ตรงข้ามกันเลยร้านอะเตอลิเย่ร์ เดอ ชง เป็นร้านถ่ายภาพที่สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ทรงพาพระราชโอรส-ธิดามาฉายพระรูปเก็บไว้ทุก ๆ ปีในวันพระราชสมภพ และประสูติของแต่ละองค์สมเด็จกรมหลวง ฯ ได้ทรงบันทึกไว้ว่า “เมื่อเราเล็ก ๆ วันเกิดของแต่ละคน แม่มักจะพาไปถ่ายรูปที่ร้านและนอกจากจะถ่ายรูปคนที่มีวันเกิดแล้ว บางครั้งยังถือโอกาสถ่ายร่วมกันทั้งครอบครัวด้วย” อย่างไรก็ตามร้านนี้ไม่ใช่ร้านเดิมที่ทุกพระองค์เสด็จไปทรงฉายพระรูป เพราะร้านเดิมนั้นตั้งอยู่กลางเมืองโลซานน์ก่อนที่ต่อมาจะได้ย้ายทำเลร้านมาตั้งอยู่ตรงข้ามแฟลตเลขที่ 16 นี้พอดีเมื่อพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอานันทมหิดล ทรงรับราชสมบัติและเสด็จขึ้นครงราชย์เป็นพระมหากษัตริย์แล้ว รัฐบาลได้ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตอัญเชิญเสด็จไปยังที่ประทับใหม่ที่โอ่โถงสมพระเกียรติยศ ดังนั้นทุกพระองค์จึงได้เสด็จย้ายออกจากแฟลตเลขที่ 16 ไปประทับที่พระตำหนักวิลล่าวัฒนา (Villa Vadhana) ในเขตปุยยี (Pully) เมืองโลซานน์ในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2478จากพระราชนิพนธ์เจ้านายเล็ก ๆ –ยุวกษัตริย์ สมเด็จกรมหลวง ฯ ทรงบรรยายไว้ว่า“วันที่ 24 กรกฎาคม แม่เขียนกราบทูลสมเด็จพระพันวัสสา ฯ ว่าหาบ้านได้แล้ว ค่าเช่า 8,000 แฟรงค์สวิสต่อปี ซึ่งนับว่าไม่แพงนัก”ทรงบันทึกไว้ว่าวิลล่าวัฒนา นี้เดิมชื่อวิลล่า ดู ว็องต์ (Villa du Vent) โดยสมเด็จพระศรีนรินทราบรมราชชนนีได้ทรงมีพระราชหัตถเลขาไปทูลเกล้าถวายสมเด็จพระพันวัสสา ฯ ความว่า“เดี๋ยวนี้ชื่อบ้านนี้เปลี่ยนเป็นชื่อไทย เพราะชื่อเก่าไม่เพราะ แปลเป็นภาษาไทยว่า ลมจัด เดี๋ยวนี้ให้ชื่อว่า วัฒนาเพราะเป็นสร้อยพระนามของฝ่าพระบาทและของบี๋ด้วย และแปลว่าเจริญ เหมาะดี เขียนเป็นภาษาฝรั่งว่าอย่างนี้ Villa Vadhana”“ฝ่าพระบาท” นั้นทรงหมายถึง สมเด็จพระศรีสวรินทิรา บรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ผู้ทรงเป็น “ย่า” ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 8 และ 9 ทรงมีพระนามว่า “สว่างวัฒนา”ส่วน “บี๋” เป็นพระนามลำลองในสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาชราชนครินทร์ ซึ่งชื่อวิลล่าวัฒนาล้วนมาจากพระนามทั้ง 2 พระองค์จากถนนทิสโซ่ต์ไปยังปุยยีนั้น ก็สามารถเดินได้เช่นกันแม้จะไกลหน่อย แต่ผมจำได้ว่าผมเลือกที่จะเดินไปจากข้อมูลที่ได้รับทำให้ผมทราบว่าอาคารพระตำหนักนั้นไม่เหลือแล้ว เพราะได้กลายสภาพเป็นอาคารที่พักอาศัย แต่ยังสามารถระบุตำแหน่งที่ตั้งได้อย่างชัดเจนแม่นยำว่าคือเลขที่ 51 เชอแม็ง เดอ ช็องบลาดส์ (Chemin de Chamblades) นั่นเองวันที่ผมเดินไปนั้น ผมพยายามสังเกตสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่รอบตัว ไม่ว่าถนนหนทางที่ตัดจากถนนใหญ่จนเข้าสู่เชอแม็ง เดอ ช็องบลาดส์ ผมรู้สึกว่านี่คือเส้นทางที่ทุกพระองค์ต้องเสด็จผ่านไปผ่านมาอยูอีกหลายปีโดยเฉพาะพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ได้ประทับอยู่ที่นี่เกือบ 20 ปี เพราะเมื่อทรงรับราชสมบัติจต่อจากพระเชษฐาก็ได้ประทับจนทรงสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยโลซานน์ จนอภิเษกสมรสกับสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และมีพระประสูติกาลสมเด็จพระเจ้าลูกเธอพระองค์แรกก่อนเสด็จนิวัติประเทศไทยเป็นการถาวรในปี พ.ศ. 2494เขตวิลล่าวัฒนานั้นเป็นพื้นที่ส่วนบุคคล จึงไม่สามารถเข้าไปข้างในได้ ผมจึงได้แต่แอบชะเง้อมองจากภายนอก อาคารโบราณหลังเดิมที่เคยเป็นที่ประทับนั้นไม่มีแล้ว สิ่งที่พอจะมองเห็นคืออาคารแบบใหม่ที่ลาดไปบนเนินหญ้าเขียวขจีทอดลงสู่ทะเลสาบเลม็องเท่านั้น Villa Vadhana ในปัจจุบันขณะนั้นรอบ ๆ ตัวมีความเงียบ ผมหลับตานึกถึงพระองค์ท่าน โดยเฉพาะภาพที่รัชกาลที่ 8, 9 และสมเด็จกรมหลวง ฯ ทรงฉายกับแมวติโตที่ทรงเลี้ยง หรือภาพทุกพระองค์ทรงฉายด้วยกันบนระเบียง... แล้วผมก็ลงกราบพระตำหนักวิลล่าวัฒนาอีกครั้งเย็นวันนั้นผมต้องเดินจากปุยยีกลับไปขึ้นรถเมล์หมายเลข 5 สายประจำกลับบ้าน ตามเส้นทางเดินกลับผมเลยมีโอกาสแวะสถานที่สำคัญอีกที่นั่นคือ แฟลตเลขที่ 19 ถนนอาวองต์-โปสต์ (Rue Avant-Poste) อันเคยเป็นแฟลตที่สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีทรงเคยประทับอยู่ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2489 เป็นต้นมาหลังจากที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ทรงอภิเษกสมรสและประทับอยู่ร่วมกับสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินีนาถในพระตำหนักวิลล่าวัฒนา ทั้งนี้ทรงเห็นว่าพระราชโอรสพึงมีพื้นที่ส่วนพระองค์สำหรับพระองค์เองและครอบครัวแฟลตเลขที่ 19 ถนนอาวองต์-โปสต์นั้นเป็นแฟลตธรรมดามาก ๆ ที่พบเห็นได้ทั่วไปในโลซานน์ และปราศจากความหรูหราใด ๆ ทั้งสิ้น หากใครเคยอ่านหนังสือ “เวลาเป็นของมีค่า – Busy Fingers” พระราชนิพนธ์ในสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากลัยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ จะพอเห็นว่าแฟลตเลขที่ 19 เรียบง่ายอย่างไรสมเด็จพระศรีนครินทราบรมมราชชนนี ประทับพักพระราชอิริยาบถ ณ แฟลตเลขที่ 19 แห่งนี้อยู่หลายปี เมื่อเสด็จนิวัติประเทศไทยพร้อมพระราชโอรสแล้ว ยังเสด็จไปประทับที่แฟลตแห่งนี้เป็นระยะ ๆ เมื่อคราวที่เสด็จพระราชดำเนินกลับมาที่โลซานน์ ทรงปั้นพระพุทธรูป ทรงปักผ้า ทรงประดิษฐ์งานศิลปะมากมายในพื้นที่นี้และเสด็จกลับมาเปลี่ยนพระอิริยาบถที่โลซานน์เป็นระยะ ๆ อยู่หลายปีจนกระทั่งตอนหลังได้เสด็จไปยังพระตำหนักดอยตุงแทนในวันนั้นขณะที่ผมมองไปที่แฟลตเลขที่ 19 ผมคิดว่าพระองค์ท่านทรงเรียบง่ายเหลือเกิน แม้จะทรงเป็นพระราชมารดาพระมหากษัตริย์ถึงสองพระองค์แต่ไม่ทรงปรารถนาความฟุ้งเฟ้อใด ๆ โดยสิ้นเชิงเย็นวันนั้นหลังจากที่ผมเดินตามรอยพระบาทไปหลายกิโลเมตรก็ถึงเวลากลับบ้านเสียที วันเกิดปีนั้นผมได้ให้ของขวัญที่ผมคิดว่าดีที่สุดในชีวิต รถเมล์สาย 5 มารับผมกลับบ้านที่เอปาแล็งชส์เช่นเดิม ตามเส้นทางรถเมล์ได้วิ่งผ่านสถานที่สำคัญอันสุดท้ายนั่นคือปาเลส์ เดอ รูมีน (Palais de Rumine) ซึ่งปัจจุบันเป็นพื้นที่แสดงงานศิลป์ เล่นคอนเสิร์ต ดนตรี และเป็นหอสมุดกลางเมืองแต่ที่นี่ ในอดีตคือที่ตั้งของมหาวิทยาลัยโลซานน์ (Université Palais de Ruminede Lausanne) ซึ่งครั้งหนึ่งเคยมีนักศึกษาพระองค์หนึ่งผู้ทรงพระนามว่า “ภูมิพลอดุลยเดช” ทรงศึกษาอยู่ในคณะนิติศาสตร์ ณ ตึกนี้ปาเลส์ เดอ รูมีนยังคงสวยงามสง่าอย่างที่เป็นมานับร้อย ๆ ปี ระหว่างที่รถแล่นผ่านนั้น ผมคิดว่าพรุ่งนี้อีกสักวัน ผมน่าจะหาเวลามาเพื่อตามรอยพระบาทไปยังด้านหลังปาเลส์ เดอ รูมีนเพื่อไปชมร้านอา ลา ปอมม์ เดอ แป็ง (A La Pomme de Pin) ที่นักศึกษาพระองค์นี้เคยเสด็จพระราชดำเนินมาเสวยพระกระยาหารง่าย ๆ ไปเดินเล่นเลาะถนนโบราณที่จะมีตลาดนัดทุกวันพุธและเสาร์จนชาวเมืองพากันมาจับจ่ายใช้สอยจนพื้นที่กลายเป็นตลาดนัดเมืองโลซานน์ (Marché de Lausanne) รวมทั้งตลาดนัดงานศิลป์ (Marché des Artistes) ที่ปลาซ เดอ ลา ปาลูด์ (Place de la Palud) รวมทั้งลัดเลาะไปตามถนนอะกาเดมี (Rue Académie) ที่ทอดไปยังวิหารโลซานน์เพราะผมเชื่อว่ารอยพระบาทได้ย่างไปทุกที่......ในโลซานน์เมืองประวัติศาสตร์แห่งนี้
........................
photo courtesy of สมาคมนักเรียนเก่าสวิสส์ ในพระอุปถัมภ์สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอเจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ภาพ Palais de Rumine By Guérin Nicolas <https://commons.wikimedia.org/w/index.php?curid=4850998>ภาพ Beau Rivage by commons.wikimedia.org/w/index.php?curid=15861875