HAPPENING BKK
NLINE MAGAZINE
×
สองน่องท่องตามรอยพระบาท ที่โลซานน์
by โลจน์ นันทิวัชรินทร์
19 ต.ค. 2560, 17:08
  6,124 views

ตามรอยเสด็จฯ ที่เมืองโลซานน์ประเทศสวิตเซอร์แลนด์

โลซานน์ (Lausanne) เป็นเมืองสำคัญของแคว้นโวด์ (Canton de Vaud) และเป็นเมืองหนึ่งในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ที่ได้เข้ามามีความสำคัญกับประวิติศาสตร์ชาติไทยเป็นอย่างยิ่งเพราะเป็นเมืองที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวถึงสองพระองค์ได้เคยประทับอยู่ร่วมกับสมเด็จพระราชมารดาและสมเด็จพระโสทรเชษฐภคินีเป็นเวลานานกว่า 2 ทศวรรษ จนอาจกลาวได้ว่าที่นี่คือ “บ้าน” หลังที่สองของพระองค์ท่าน

ย้อนไปเมื่อปี พ.ศ. 2540 ผมมีโอกาสไปใช้ชีวิตที่โลซานน์อยู่ระยะหนึ่งเพื่อไปเรียนหนังสือ และสิ่งที่ผมตั้งใจจะทำให้สำเร็จก็คือการตามรอยพระบาทไปตามสถานที่ต่าง ๆ ทั่วโลซานน์

ย้อนเวลาไปเมื่อ 20 ปีที่แล้ว ในสมัยที่อินเทอร์เน็ตยังเป็นระบบ Dial up ไม่รวดเร็วปรูดปราดเช่นทุกวันนี้ รวมทั้งข้อมูลต่าง ๆ ยังมีไม่มาก การตามรอยพระบาทในครั้งนั้นจึงเป็นเหมือนการสืบรอยเลยทีเดียว

แหล่งข้อมูลที่ผมอ้างอิงเป็นหลักคือหนังสือ แม่เล่าให้ฟัง” ฉบับพิมพ์ครั้งแรกในปี พ.ศ. 2523 และ“เจ้านายเล็ก ๆ ยุวกษัตริย์” ฉบับพิมพ์ครั้งแรกในปี พ.ศ. 2530 ซึ่งทั้ง 2 เล่มล้วนเป็นพระราชนิพนธ์ในสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ที่ทรงพระกรุณาถ่ายทอดพระราชประวัติและพระราชจริยวัตรสมาชิกใน “ราชสกุลมหิดล” พระราชทานผู้อ่าน

และแล้วการตามรอยพระบาทในปี พ.ศ. 2540 ก็เริ่มขึ้นในเดือนมีนาคมในวันเปลี่ยนฤดูจากหนาวเข้าสู่ใบไม้ผลิ เมื่ออากาศในโลซานน์เริ่มอุ่นขึ้น และวันนั้นคือวันเกิดของผมพอดี

รถเมล์สาย 5 ขาประจำพาผมเดินเดินทางจากบ้านผมในเขตเอปาแล็งชส์ (Épalinges) มาตั้งต้นที่ปลาซ แซ็งต์ ฟรองซัวส์ (Place St. François) อันเป็นจุดกลางเมือง และผมตั้งใจว่าผมจะ “เดิน” ตามรอยพระบาทไปเรื่อย ๆ เรียงลำดับตามเหตุการณ์เท่าที่สามารถจะไปได้ในวันนี้

“เมื่อเรือถึงเจนัว (Genoa) แล้ว คณะเดินทางขึ้นรถไฟไปโลซานน์ (Lausanne) ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ครั้งแรกที่ทรงพักเมืองนี้ ทูลหม่อมทรงเลือกโรงแรมที่ใหญ่ที่สุดและโก้ที่สุดเป็นที่พัก นั่นคือโรงแรมโบริวาจ”

จากพระราชนิพนธ์แม่เล่าให้ฟังทำให้เราทราบว่า “ทูลหม่อม” หรือสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนกได้ทรงพาสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีเสด็จจากประเทศไทยมายุโรปก่อนไปยังสหรัฐอเมริกาหลังจากที่ทั้ง 2 พระองค์ทรงรับพระราชทานน้ำพระมหาสังข์จากพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ในพิธีอภิเษกสมรสที่กรุงเทพ ฯ

และโรงแรมโบริวาจ (Beau Rivage) แห่งนี้ที่ “ใหญ่ที่สุดและโก้ที่สุด” เป็นที่ทรงเลือกประทับเพื่อฮันนีมูน

ตึกอาร์ตเดโคและนีโอบาโร้กสีเหลืองนวลแห่งนี้ตั้งตระหง่านคู่เมืองโลซานน์มาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1861 ด้านหลังเป็นเนินส่วนด้านหน้าคือทะเลสาบเลม็อง (Lac Léman) อันสวยงามและไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไหร่โรงแรมนี้ก็ยังยังครอบครองตำแหน่งโรงแรมสำคัญคู่บ้านคู่เมืองของโลซานน์

เสียดายว่าผมไม่มีโอกาสเห็นพระบรมฉายาลักษณ์ของทั้ง 2 พระองค์ที่ฉายกับโรงแรมนี้เลย แม้ในหนังสือแม่เล่าให้ฟังก็ไม่ได้เผยแพร่ไว้ เมื่อลองพยายามค้นหาจากแหล่งอื่น ๆ ก็ไม่พบ แต่ขณะที่ผมยืนอยู่ตรงนั้น ผมคิดว่าที่นี่คือจุดเริ่มต้นของครอบครัวเล็ก ๆ ครอบครัวหนึ่งที่ต่อมาคือครอบครัวที่สร้างคุณูปการอันใหญ่หลวงต่อผืนแผ่นดินไทย

โลซานน์เป็นเมืองไม่ใหญ่การเดินไปไหนมาไหนจึงไม่ยาก นอกเสียจากว่าจะเป็นคนแพ้เนิน ความที่ตั้งอยู่บนเชิงเขา และเนินสูงต่ำไล่ระดับก่อนลาดลงสู่ทะเลสาบ แต่ในวันอากาศเย็นเช่นนี้ก็ไม่มีปัญหา

จากโรงแรมโบริวาจ สถานที่ที่ผมเลือกเดินต่อไปก็คืออพาร์ตเมนท์เลขที่ 16 ถนนทิสโซ่ต์ (Apartement Numéro 16, Rue de Tissot) ซึ่งสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ทรงบรรยายเรื่องอพาร์ตเมนท์ เลขที่ 16 นี้ไว้ว่า

“แฟลตที่แม่เช่าไว้อยู่ที่ 16 ถนนทิสโซ่ต์ อยู่ไม่ไกลจากใจกลางเมืองเดินสัก 15 นาทีก็ถึง แต่ก็เงียบดีเป็นตึกใหญ่ที่มีแฟลตหลายชุด แม่เช่าแฟลตหนึ่งที่อยู่ชั้นล่างเพราะเกรงว่าลูกอาจรบกวนคนที่พักอยู่ข้างใต้ด้วยการวิ่งหรือกระโดด”

ทั้ง 4 พระองค์ทรงย้ายมาประทับที่นี่ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2476 และนับเป็น “บ้าน” หลังแรกของครอบครัวมหิดลในประเทศสวิตเซอร์แลนด์เพราะก่อนหน้านี้เมื่อเสด็จลี้ภัยการเมืองจากประเทศไทยมาถึงโลซานน์ใหม่ ๆ นั้นยังทรงหาแฟลตที่ประทับไม่ได้จึงต้องประทับพักในโรงแรมมอนตานา

และก็เป็นอย่างที่สมเด็จกรมหลวง ฯ ทรงบรรยายไว้ เพราะจากโรงแรมโบริวาจนั้น ผมเดินกลับมาหน้าไปรษณีย์กลางของโลซานน์และเดินต่อมายังถนนทิสโซ่ต์โดยใช้เวลา 15 นาทีพอดี

บรรยากาศถนนทิสโซ่ต์ยังคงร่มรื่นเช่นเดิม มีเพียงป้ายชื่อถนนที่เปลี่ยนจาก Rue de Tissot ไปเป็น Avenue Auguste-TISSOT ส่วนตัวแฟลตเลขที่ 16 นั้นยังคงสภาพเดิมอย่างที่เห็นในรูปทุกประการ

อาคารโบราณสีเหลืองอ่อนยังตั้งอยู่อย่างสงบเงียบแบบบ้านประชาชนคนธรรมดาสามัญ แต่ใครจะรู้ว่าบ้านหลังนี้คือสถานที่ที่รัฐบาลไทยได้ส่งพระยาศรีธรรมาธิเบศร (จิตร ณ สงขลา) และนายดิเรก ชัยนาม มากราบทูลอัญเชิญพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอานันทมหิดล ให้ทรงรับราชสมบัติและครองราชย์เป็นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 8 ในพระราชวงศ์จักกรีในขณะนั้นทรงมีพระชนมายุเพียง 9 พรรษา หลังจากที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ทรงสละราชสมบัติเมื่อวันที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2477

ถ้ามีโอกาสได้อ่านพระราชนิพนธ์เจ้านายเล็ก ๆ–ยุวกษัตริย์ จะเห็นพระบรมฉายาลักษณ์ที่ทั้ง 2 พระองค์ทรงฉายที่แฟลตแห่งนี้เยอะมาก ๆ ไม่ว่าจะเป็นขณะประทับบนเฉลียง ขณะทรงต่อรถไฟและเล่นรถไฟด้วยกัน หรือทรงถูระเบียงในหน้าร้อน เพราะ “แฟลตนี้มีเฉลียงยาว ถ้าอากาศดีเราชอบอยู่ที่เฉลียงนี้กัน โดยเฉพาะน้อง 2 คน” ตามที่สมเด็จกรมหลวง ฯ ทรงบันทึกไว้

ทรงถูระเบียงในหน้าร้อน

พระบรมฉายาลักษณ์องค์สำคัญ ๆ ที่เผยแพร่มาก ๆ ก็คือเมื่อทรงจักรยานสามล้อกันทั้ง  3 พระองค์พี่น้อง ซึ่งก็คือที่บริเวณถนนทิสโซ่ต์แห่งนี้ และนั่นคือภาพแห่งความสุขก่อนที่ “ภัยการเมือง” ที่ทรง “ลี้” หนีมาไกลแสนไกลจะตามมาถึง และต้องทรงแบกภาระอันยิ่งใหญ่ในขณะที่พระชนมพรรษาเพียงน้อยนิด

สิ่งที่ผมจำได้คือผมลงไปกราบหน้าแฟลตเลขที่ 16 เพราะผมถือว่าที่นี่เคยเป็นพระราชฐานที่พระมหากษัตริย์ของผมเคยประทับ และเป็นที่ที่ทุกพระองค์ทรงได้รับความสุขมาก ๆ แม้จะในช่วงเวลาสั้น ๆ ก็ตาม

ถ้าไปถึงแฟลตเลขที่ 16 ถนนทิสโซ่ต์แล้ว อย่าลืมแวะไปที่ร้าน อะเตอลิเย่ร์ เดอ ชง (Atelier de Jong) ซึ่งตั้งอยู่ตรงข้ามกันเลย

ร้านอะเตอลิเย่ร์ เดอ ชง เป็นร้านถ่ายภาพที่สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ทรงพาพระราชโอรส-ธิดามาฉายพระรูปเก็บไว้ทุก ๆ ปีในวันพระราชสมภพ และประสูติของแต่ละองค์

สมเด็จกรมหลวง ฯ ได้ทรงบันทึกไว้ว่า เมื่อเราเล็ก ๆ วันเกิดของแต่ละคน แม่มักจะพาไปถ่ายรูปที่ร้านและนอกจากจะถ่ายรูปคนที่มีวันเกิดแล้ว บางครั้งยังถือโอกาสถ่ายร่วมกันทั้งครอบครัวด้วย”

อย่างไรก็ตามร้านนี้ไม่ใช่ร้านเดิมที่ทุกพระองค์เสด็จไปทรงฉายพระรูป เพราะร้านเดิมนั้นตั้งอยู่กลางเมืองโลซานน์ก่อนที่ต่อมาจะได้ย้ายทำเลร้านมาตั้งอยู่ตรงข้ามแฟลตเลขที่ 16 นี้พอดี

เมื่อพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอานันทมหิดล ทรงรับราชสมบัติและเสด็จขึ้นครงราชย์เป็นพระมหากษัตริย์แล้ว รัฐบาลได้ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตอัญเชิญเสด็จไปยังที่ประทับใหม่ที่โอ่โถงสมพระเกียรติยศ ดังนั้นทุกพระองค์จึงได้เสด็จย้ายออกจากแฟลตเลขที่ 16 ไปประทับที่พระตำหนักวิลล่าวัฒนา (Villa Vadhana) ในเขตปุยยี (Pully) เมืองโลซานน์ในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2478

จากพระราชนิพนธ์เจ้านายเล็ก ๆ –ยุวกษัตริย์ สมเด็จกรมหลวง ฯ ทรงบรรยายไว้ว่า

“วันที่ 24 กรกฎาคม แม่เขียนกราบทูลสมเด็จพระพันวัสสา ฯ ว่าหาบ้านได้แล้ว ค่าเช่า 8,000 แฟรงค์สวิสต่อปี ซึ่งนับว่าไม่แพงนัก”

ทรงบันทึกไว้ว่าวิลล่าวัฒนา นี้เดิมชื่อวิลล่า ดู ว็องต์ (Villa du Vent) โดยสมเด็จพระศรีนรินทราบรมราชชนนีได้ทรงมีพระราชหัตถเลขาไปทูลเกล้าถวายสมเด็จพระพันวัสสา ฯ ความว่า

“เดี๋ยวนี้ชื่อบ้านนี้เปลี่ยนเป็นชื่อไทย เพราะชื่อเก่าไม่เพราะ แปลเป็นภาษาไทยว่า ลมจัด เดี๋ยวนี้ให้ชื่อว่า วัฒนาเพราะเป็นสร้อยพระนามของฝ่าพระบาทและของบี๋ด้วย และแปลว่าเจริญ เหมาะดี เขียนเป็นภาษาฝรั่งว่าอย่างนี้ Villa Vadhana

“ฝ่าพระบาท” นั้นทรงหมายถึง สมเด็จพระศรีสวรินทิรา บรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ผู้ทรงเป็น “ย่า” ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 8 และ 9 ทรงมีพระนามว่า “สว่างวัฒนา

ส่วน “บี๋” เป็นพระนามลำลองในสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาชราชนครินทร์ ซึ่งชื่อวิลล่าวัฒนาล้วนมาจากพระนามทั้ง 2 พระองค์

จากถนนทิสโซ่ต์ไปยังปุยยีนั้น ก็สามารถเดินได้เช่นกันแม้จะไกลหน่อย แต่ผมจำได้ว่าผมเลือกที่จะเดินไป

จากข้อมูลที่ได้รับทำให้ผมทราบว่าอาคารพระตำหนักนั้นไม่เหลือแล้ว เพราะได้กลายสภาพเป็นอาคารที่พักอาศัย แต่ยังสามารถระบุตำแหน่งที่ตั้งได้อย่างชัดเจนแม่นยำว่าคือเลขที่ 51 เชอแม็ง เดอ ช็องบลาดส์ (Chemin de Chamblades) นั่นเอง

วันที่ผมเดินไปนั้น ผมพยายามสังเกตสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่รอบตัว ไม่ว่าถนนหนทางที่ตัดจากถนนใหญ่จนเข้าสู่เชอแม็ง เดอ ช็องบลาดส์ ผมรู้สึกว่านี่คือเส้นทางที่ทุกพระองค์ต้องเสด็จผ่านไปผ่านมาอยูอีกหลายปีโดยเฉพาะพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ได้ประทับอยู่ที่นี่เกือบ 20 ปี เพราะเมื่อทรงรับราชสมบัติจต่อจากพระเชษฐาก็ได้ประทับจนทรงสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยโลซานน์ จนอภิเษกสมรสกับสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และมีพระประสูติกาลสมเด็จพระเจ้าลูกเธอพระองค์แรกก่อนเสด็จนิวัติประเทศไทยเป็นการถาวรในปี พ.ศ. 2494

เขตวิลล่าวัฒนานั้นเป็นพื้นที่ส่วนบุคคล จึงไม่สามารถเข้าไปข้างในได้ ผมจึงได้แต่แอบชะเง้อมองจากภายนอก อาคารโบราณหลังเดิมที่เคยเป็นที่ประทับนั้นไม่มีแล้ว สิ่งที่พอจะมองเห็นคืออาคารแบบใหม่ที่ลาดไปบนเนินหญ้าเขียวขจีทอดลงสู่ทะเลสาบเลม็องเท่านั้น

Villa Vadhana ในปัจจุบัน

ขณะนั้นรอบ ๆ ตัวมีความเงียบ ผมหลับตานึกถึงพระองค์ท่าน โดยเฉพาะภาพที่รัชกาลที่ 8, 9 และสมเด็จกรมหลวง ฯ ทรงฉายกับแมวติโตที่ทรงเลี้ยง หรือภาพทุกพระองค์ทรงฉายด้วยกันบนระเบียง... แล้วผมก็ลงกราบพระตำหนักวิลล่าวัฒนาอีกครั้ง

เย็นวันนั้นผมต้องเดินจากปุยยีกลับไปขึ้นรถเมล์หมายเลข 5 สายประจำกลับบ้าน ตามเส้นทางเดินกลับผมเลยมีโอกาสแวะสถานที่สำคัญอีกที่นั่นคือ แฟลตเลขที่ 19 ถนนอาวองต์-โปสต์ (Rue Avant-Poste) อันเคยเป็นแฟลตที่สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีทรงเคยประทับอยู่ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2489 เป็นต้นมาหลังจากที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ทรงอภิเษกสมรสและประทับอยู่ร่วมกับสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินีนาถในพระตำหนักวิลล่าวัฒนา ทั้งนี้ทรงเห็นว่าพระราชโอรสพึงมีพื้นที่ส่วนพระองค์สำหรับพระองค์เองและครอบครัว

แฟลตเลขที่ 19 ถนนอาวองต์-โปสต์นั้นเป็นแฟลตธรรมดามาก ๆ ที่พบเห็นได้ทั่วไปในโลซานน์ และปราศจากความหรูหราใด ๆ ทั้งสิ้น หากใครเคยอ่านหนังสือ “เวลาเป็นของมีค่า – Busy Fingers พระราชนิพนธ์ในสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากลัยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ จะพอเห็นว่าแฟลตเลขที่ 19 เรียบง่ายอย่างไร

สมเด็จพระศรีนครินทราบรมมราชชนนี ประทับพักพระราชอิริยาบถ ณ แฟลตเลขที่ 19 แห่งนี้อยู่หลายปี เมื่อเสด็จนิวัติประเทศไทยพร้อมพระราชโอรสแล้ว ยังเสด็จไปประทับที่แฟลตแห่งนี้เป็นระยะ ๆ เมื่อคราวที่เสด็จพระราชดำเนินกลับมาที่โลซานน์ ทรงปั้นพระพุทธรูป ทรงปักผ้า ทรงประดิษฐ์งานศิลปะมากมายในพื้นที่นี้และเสด็จกลับมาเปลี่ยนพระอิริยาบถที่โลซานน์เป็นระยะ ๆ อยู่หลายปีจนกระทั่งตอนหลังได้เสด็จไปยังพระตำหนักดอยตุงแทน

ในวันนั้นขณะที่ผมมองไปที่แฟลตเลขที่ 19 ผมคิดว่าพระองค์ท่านทรงเรียบง่ายเหลือเกิน แม้จะทรงเป็นพระราชมารดาพระมหากษัตริย์ถึงสองพระองค์แต่ไม่ทรงปรารถนาความฟุ้งเฟ้อใด ๆ โดยสิ้นเชิง

เย็นวันนั้นหลังจากที่ผมเดินตามรอยพระบาทไปหลายกิโลเมตรก็ถึงเวลากลับบ้านเสียที วันเกิดปีนั้นผมได้ให้ของขวัญที่ผมคิดว่าดีที่สุดในชีวิต รถเมล์สาย 5 มารับผมกลับบ้านที่เอปาแล็งชส์เช่นเดิม ตามเส้นทางรถเมล์ได้วิ่งผ่านสถานที่สำคัญอันสุดท้ายนั่นคือปาเลส์ เดอ รูมีน (Palais de Rumine) ซึ่งปัจจุบันเป็นพื้นที่แสดงงานศิลป์ เล่นคอนเสิร์ต ดนตรี และเป็นหอสมุดกลางเมือง

แต่ที่นี่ ในอดีตคือที่ตั้งของมหาวิทยาลัยโลซานน์ (Université

Palais de Rumine

de Lausanne) ซึ่งครั้งหนึ่งเคยมีนักศึกษาพระองค์หนึ่งผู้ทรงพระนามว่า “ภูมิพลอดุลยเดช” ทรงศึกษาอยู่ในคณะนิติศาสตร์ ณ ตึกนี้

ปาเลส์ เดอ รูมีนยังคงสวยงามสง่าอย่างที่เป็นมานับร้อย ๆ ปี ระหว่างที่รถแล่นผ่านนั้น ผมคิดว่าพรุ่งนี้อีกสักวัน ผมน่าจะหาเวลามาเพื่อตามรอยพระบาทไปยังด้านหลังปาเลส์ เดอ รูมีนเพื่อไปชมร้านอา ลา ปอมม์ เดอ แป็ง (A La Pomme de Pin) ที่นักศึกษาพระองค์นี้เคยเสด็จพระราชดำเนินมาเสวยพระกระยาหารง่าย ๆ ไปเดินเล่นเลาะถนนโบราณที่จะมีตลาดนัดทุกวันพุธและเสาร์จนชาวเมืองพากันมาจับจ่ายใช้สอยจนพื้นที่กลายเป็นตลาดนัดเมืองโลซานน์ (Marché de Lausanne) รวมทั้งตลาดนัดงานศิลป์ (Marché des Artistes) ที่ปลาซ เดอ ลา ปาลูด์ (Place de la Palud) รวมทั้งลัดเลาะไปตามถนนอะกาเดมี (Rue Académie) ที่ทอดไปยังวิหารโลซานน์

เพราะผมเชื่อว่ารอยพระบาทได้ย่างไปทุกที่......ในโลซานน์เมืองประวัติศาสตร์แห่งนี้

........................

photo courtesy of สมาคมนักเรียนเก่าสวิสส์ ในพระอุปถัมภ์สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอเจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์

ภาพ Palais de Rumine By Guérin Nicolas <https://commons.wikimedia.org/w/index.php?curid=4850998>

ภาพ Beau Rivage by commons.wikimedia.org/w/index.php?curid=15861875

 

ABOUT THE AUTHOR
โลจน์ นันทิวัชรินทร์

โลจน์ นันทิวัชรินทร์

หนุ่มเอเจนซี่โฆษณาผู้มีปรัชญาชีวิตว่า "ทำมาหาเที่ยว" เพราะเรื่องเที่ยวมาก่อนเรื่องกินเสมอ ชอบไปประเทศนอกแผนที่ที่ไม่มีใครอยากไปเลยต้องเต็มใจเป็น solo backpacker

ALL POSTS