ตลุยป่าดงดิบยูกันดาตามหากอริลลาภูเขา
“ช่วยพาผมไปชมลิงกอริลลาตัวใหญ่ ๆ ยิ่งตัวใหญ่มาก ๆ ยิ่งดีนะครับ ผมอยากเห็นชัด ๆ - ขอบคุณครับ”
นั่นเป็นข้อความใน Email ที่ผมเขียนส่งถึงบริษัทท่องเที่ยวในประเทศยูกันดา (Uganda) ที่ผมติดต่อไปจากเมืองไทยก่อนตัดสินใจเดินทางไปยังแอฟริกาตะวันตก เพื่อบุกป่าฝ่าดงแกะรอยตามล่าหาเจ้าลิงยักษ์ เพื่อที่จะใช้เวลาอยู่กับพวกมันเพียงหนึ่งชั่วโมงแบบไร้กรงกั้น....
ใช่ครับ “แบบไร้กรงกั้น” ผมขออนุญาตย้ำอีกครั้งว่านั่นคือความจริง
ผมแอบมีความฝันว่าจะได้ใกล้ชิดเจ้ากอริลล่าภูเขาเหมือนกับที่เคยเห็นจากภาพยนตร์เรื่อง Gorillas in the Mist ซึ่งสร้างจากชีวิตจริงของไดแอน ฟอสซี่ย์ (Dian Fossey) สตรีนักอนุรักษ์ชาวอเมริกันผู้อุทิศทั้งชีวิตของเธอในการศึกษาและหาวิธีอนุรักษ์กอริลลาภูเขา
ไดแอนใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 18 ปีในการศึกษาชีวิตกอริลลาภูเขาอย่างจริงจัง เธอเดินป่าตามรอยพวกมันใน 3 ประเทศอันได้แก่ ยูกันดา รวันดา และคองโก จนสามารถเข้าหาฝูงกอริลลาภูเขาได้สำเร็จ กอริลลาตัวโปรดของเธอมีชื่อว่าดิจิต (Digit) เป็นกอริลลาตัวผู้ที่เธอคุ้นเคยมากทีสุด
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์การลักลอบดักจับและสังหารกอริลลาภูเขาในบริเวณนั้นยังมีความรุนแรงอยู่มาก และสิ่งที่ไดแอนทำได้ไปขัดขวางผลประโยชน์ของกลุ่มผู้ลักลอบค้าสัตว์ป่าอย่างจัง
ในที่สุด “ดิจิต” กอริลลาตัวโปรดของเธอก็ถูกฆ่าตายในปี พ.ศ. 2520 และเธอเองก็ถูกลอบสังหารด้วยมีดในกระท่อมพักเมื่อปี พ.ศ. 2528 ศพของเธอถูกฝังไว้ข้างดิจิต พร้อมกับการก่อตั้งกองทุน Dian Fossey Gorilla Fund International (DFGFI) นับเป็นการจุดประกายการอนุรักษ์สัตว์ป่าชนิดนี้อย่างเข้มข้นและจริงจังให้เกิดขึ้นใน 3 ประเทศซึ่งเป็นเพียงผืนแผ่นดินเดียวบนโลกใบนี้ที่มีกอริลลาภูเขาแสนวิเศษชนิดนี้อาศัยอยู่
เรื่องราวของไดแอน ฟอสซี่ย์ และภาพยนตร์เรื่อง Gorillas in the Mist คือแรงบันดาลใจที่พาผมเดินทางมาที่นี่ เพื่อชมกอริลลาภูเขากลางป่าและสายหมอกในพื้นที่ที่เป็น “บ้าน” ของพวกมัน
“ขอให้ไปที่บวินดิเพื่อไปชมลิงกอริลลาภูเขา เดินทางมาที่เมืองคิโซโร่ เจ้าหน้าที่จะรออยู่ที่นั่น” นี่เป็น Email ฉบับตอบที่ผมได้รับ
การนัดหมายของเราจึงเริ่มต้นที่เมืองคิโซโร่ (Kisoro) เมืองตะเข็บชายแดนในยูกันดาที่อยู่ใกล้รวันดา และคองโก
คิโซโร่
คิโซโร่เป็นเมืองเล็ก ๆ ที่เรามาพักค้างคืนก่อนเดินป่าตามหากอริลลาภูเขา
ผมมาพบไกด์ท้องถิ่นที่โรงแรมเล็ก ๆ ในคิโซโร่ โดยเขาสำทับกับผมไว้ว่าตี 4 วันรุ่งขึ้นจะมารับ ผมพยายามนอนข่มตาหลับในคืนนั้น แต่ผมนอนยังไงก็ไม่หลับ ผมรอวันสำคัญที่จะเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้มาทั้งชีวิต...
ตอนเช้าอากาศหนาวมาก ๆ พอตี 4 ตรงรถตู้คันมอมก็มารับผมไปส่งที่ป่าบวินดิตามกำหนดการณ์
หมอกยามเช้าที่อุทยานแห่งชาติบวินดิ
บวินดิ (Bwindi Impenetrable National Park) เป็นป่าสมบูรณ์ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนมรดกโลก เพราะยังคงสภาพป่าดงดิบรกชัฏแบบแอฟริกาไว้อย่างดี และพื้นที่นี้คือแหล่งที่อยู่อาศัยเพียงไม่กี่แห่งของลิงกอริลลาภูเขาที่เรามักเรียกตัวผู้ที่เป็นจ่าฝูงว่า “เจ้าหลังเงิน” หรือ Silverback
ก่อนที่จะเดินป่าในเช้าวันนั้น นักท่องเที่ยวทุกคนจะต้องเข้ารับการอบรมกฏ กติกา มารยาท รวมทั้งข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับลิงกอริลลา และครอบครัวลิงกอริลลาที่ผมจะเข้าไปพบในครั้งนี้คือครอบครัวของเจ้ามิชาย่า (Mishaya) เจ้าหลังเงินตัวใหญ่จ่าฝูง โดยมีฟลอเร็นซ์ (Florence) และจาวิโร (Javiro) พร้อมกับทีมพรานอีก 2 คน เป็นผู้นำผมและเพื่อนร่วมเดินทางอีก 7 ชีวิตเข้าป่าไปตามหาพวกมัน
รัฐบาลยูกันดากำหนดให้ผู้ที่จะเข้าป่าไปดูกอริลลาภูเขามีจำนวนไม่เกิน 8 คนต่อกลุ่มต่อวันเพื่อไม่ให้รบกวนเจ้าลิงยักษ์จนเกินไป และในแต่ละวันจะมีครอบครัวลิงกอริลลาเพียง 12 ครอบครัวเท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้มนุษย์อย่างเราเข้าไปดูได้
ฟังบรรยายก่อนเริ่มเดินป่าตามหากอริลลาภูเขา
นอกนั้นจะเป็นครอบครัวกอริลล่าที่อยู่กลางป่าลึกตามธรรมชาติโดยปราศจากการรบกวนจากมนุษย์โดยสิ้นเชิง
“ก่อนอื่นต้องเข้าใจนะคะว่ากอริลล่าภูเขาเป็นมังสวิรัติ ดังนั้นเราจึงไม่ใช่อาหารของเขาโดยธรรมชาติ คุณไม่ต้องห่วง” เมื่อฟลอเร็นซ์กล่าวประโยคนี้จบก็เรียกเสียงถอนหายใจ และเสียงหัวเราะเบา ๆ จากใครต่อใครได้หลายคน รวมทั้งตัวผมเองด้วย
“อย่ากลัว แต่จงให้ความเคารพ หมอบให้ต่ำกว่า ใช้เสียงให้น้อยที่สุด ถ่ายรูปได้แต่ห้ามใช้แฟลชเด็ดขาด ตามกฏคือต้องอยู่ห่างจากกอริลลาภูเขาอย่างต่ำ 7 เมตรเพื่อป้องกันไม่ให้เชื้อโรคจากมนุษย์ติดต่อไปยังลิงกอริลล่าได้” ฟลอเร็นซ์อธิบายให้ในขณะที่เราฟังอย่างตั้งใจ ก่อนที่จะเริ่มเดินก็มีการสอบถามกันว่ามี่ใครเป็นหวัด จาม หรือไออะไรไหม หากใครมีอาการเช่นนี้ก็จะไม่ได้รับอนุญาตให้ร่วมเดินโดยเด็ดขาด
ผู้มาเยือนต้องแอบดูเงียบ ๆ
“อย่ามองตากอริลล่าภูเขานะคะ ห้าม... เพราะนั่นคือการท้าทาย และไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นก็ตาม ให้ก้มหน้าอยู่นิ่ง ๆ อย่าลุกขึ้นยืนหรือวิ่งหนีโดยเด็ดขาด” ฟลอเร็นซ์เตือน เราพยักหน้ากันหงึกหงัก
ใครที่ใส่เสื้อสีแดงจะได้รับการร้องขอให้เปลี่ยนเป็นสีอื่น เพราะสีแดงดูเหมือนเลือด และน้องลิงอาจจะเข้าใจได้ว่าเราเป็นสัตว์ที่บาดเจ็บได้
“เขาอาจเข้ามาดูเราใกล้ ๆ เพราะคิดว่าเราบาดเจ็บ และอาจต้องการความช่วยเหลือก็ได้ค่ะ” ฟลอเร็นซ์อธิบายให้เข้าใจถึงความใจดีของน้องลิงกอริลลา
ทีมผู้นำทาง
เดินเข้าไปในป่าลึก
เมื่อพร้อมแล้ว ทุกคนจัดกระบวนแถวตอนเรียงหนึ่ง ผมรีบมาอยู่หน้าติดจาวิโรที่แต่งกายอยู่ในชุดทหารพรานอย่างทะมัดทะแมงพร้อมสะพายปืนกระบอกใหญ่
... แน่นอนว่ามันมีไว้สำหรับยิงขู่เมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินเท่านั้น ....
“สัตว์ป่าทุกตัวในเขตอุทยานแห่งชาติบวินดิเป็นสัตว์คุ้มครองตามกฏหมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกอริลล่าภูเขา ปืนที่พกก็มีไว้สำหรับยิงขู่เท่านั้น คุณไม่ต้องเป็นห่วง การทำร้ายหรือสังหารสัตว์ใด ๆ ก็ตามในบริเวณนี้ มีโทษถึงจำคุกตลอดชีวิต” จาวิโรบอกผมให้มั่นใจ เพราะผมเองก็ไม่อยากเป็น “แขก” ที่เข้ามาแล้วอาจทำให้สัตว์ป่าทั้งหลาย โดยเฉพาะกอริลลาภูเขาที่เป็น “เจ้าของบ้าน” ต้องเดือดร้อน ไม่ว่ากรณีใดก็ตาม และที่ผ่านมาก็ไม่เคยมีประวัติว่ากอริลลาภูเขาทำร้ายนักท่องเที่ยวแต่อย่างใด
สำหรับผู้ที่ไม่แน่ใจในเรื่องความปลอดภัย ขออธิบายสั้น ๆ ว่า กว่านักท่องเที่ยวอย่างเราจะได้มีโอกาสใกล้ชิดกอริลลาภูเขาได้มากขนาดนี้ เจ้าหน้าที่อุทยานต้องใช้ความอุตสาหะในการเดินตามและพยายามแสดงความเป็นมิตรกับมันทุกวันไม่ต่ำกว่า 3 ปีติดต่อกัน
ผจญภัยในป่าลึก
การเฝ้าติดตามและสังเกตพฤติกรรมช่วยให้นักอนุรักษ์เข้าใจธรรมชาติของพวกมันดียิ่งขึ้นและรู้ว่าจะดูแลมันได้อย่างไร ทุกวันนี้กอริลลาภูเขาเพิ่มจำนวนขึ้นจาก 700 ตัวเป็น 880 ตัว อัตราการเกิดมีเพิ่มขึ้นจากต่ำกว่า 10 เปอร์เซนต์กลายเป็น 26 เปอร์เซนต์ต่อปี กอริลลาภูเขากว่าครึ่งอาศัยอยู่ในเขตอุทยานห่งชาติบวินดิแห่งนี้ ที่เหลือกระจายตัวอยู่ในเขตประเทศรวันดาและประเทศคองโก
สำหรับค่าเดินป่าเข้าไปพบกอริลล่าตัวเป็น ๆ นั้นคือครั้งละ 500 เหรียญสหรัฐ โดยเงินก้อนนี้จะนำมาสมทบทุนกองทุนอนุรักษ์กอริลลาภูเขา และช่วยเสริมความเป็นอยู่ของคนในท้องถิ่นให้ดียิ่งขึ้น เกิดอาชีพต่าง ๆ หลากหลายที่ล้วนเกี่ยวพันกับการท่องเที่ยว สิ่งสำคัญที่สุดคือช่วยหันเหประชาชนในท้องถิ่นที่เคยดำรงชีวิตด้วยการลักลอบจับและฆ่าสัตว์ป่าทั้งหลายอย่างที่เคยเป็นมาให้เปลี่ยนพฤติกรรมมาเป็นนักอนุรักษ์นั่นเอง
มาแสนไกลบุกป่าเพื่อเยี่ยมครอบครัวนี้
การเดินป่าหาลิงกอริลลาภูเขาที่บวินดินั้น ต้องใช้พลังขา แขน ไหล่ ของพวกเรามาก ๆ บวินดิเป็นป่าดงดิบสมชื่อ ‘Impenetrable’ แต่ละย่างก้าวต้องใช้มีดพร้าฟันต้นหญ้า กิ่งไม้ ใบไม้ เพื่อบุกฝ่าเข้าไป ที่สำคัญคือทางเดินขึ้นเขาที่ค่อนข้างชันและลื่นด้วยโคลน เรียกได้ว่าแทบไม่มีพื้นราบ
ผมใส่พลังทั้งหมดปีน ป่าย เดินขึ้น เดินลง จนอีก 4 ชั่วโมงต่อมา จาวิโรก็ส่งสัญญาณให้หยุด และกระซิบเบา ๆ ว่า “เจ้ามิชาย่า” กอริลล่าภูเขาหนุ่มกับครอบครัวของมันอยู่แถว ๆ นี้
ไม่มีใครกล้าส่งเสียงพูดคุยใด ๆ ทั้งสิ้น มีเพียงเสียงหอบเหนื่อยอยู่แฮ่ก แฮ่ก... เมื่อจาวิโรและฟลอเร็นซ์ใช้มีดฟันเพื่อเปิดทาง แล้วทันใดนั้น.....
“ค่อก ค่อก ค่อก แฮ่ แฮ่ ค่อก ค่อก แฮ่ แฮ่” เสียงลิงกอริลลาภูเขาดังสะท้าน ผมมองไปเห็น “มิชาย่า” กอริลลาภูเขาหลังเงินตัวใหญ่วิ่งรี่ออกมาพร้อมชกที่อกตัวเองดัง “ป๊อก ป๊อก ป๊อก ป๊อก” แบบรัวเร็ว
“ก้มต่ำ” เสียงฟลอเร็นซ์ร้องเตือน ผมรีบหันหลังก้มทันทีพร้อมกับทุกคนต่างทำตามอย่าเลิ่กลั่ก เราได้ยินเสียงคำรามของมันอย่างชัดเจน ผมไม่กล้าหันไปดู กลัวจะไปสบตาท้าทายมันเข้า พยายามทำตัวลีบเล็กมากที่สุด ใจผมเต้นตึ้ก ตึ้ก ตึ้ก เป็นกลองรัว....
“ค่อก ค่อก ค่อก แฮ่ แฮ่” คราวนี้เป็นเสียงของจาวิโรที่ร้องตอบออกไป เลียนแบบเสียงกอริลลาภูเขาได้เหมือนสนิท แล้วเชื่อหรือไม่ว่าวินาทีนั้นเจ้ามิชาย่าก็สงบเสงี่ยมลงไปเฉย ๆ หันหลังกลับไปกินใบไม้ต่อแบบธรรมดาที่สุด พร้อมกับส่งเสียงคราง ค่อก ๆ เบา ๆ ออกมาเป็นระยะ
“เอาล่ะ ค่อย ๆ ย่อตัว หันไปถ่ายรูปได้แล้วนะ ห้ามใช้แฟลชเด็ดขาด” จาวิโรกับฟลอเร็นซ์เตือนอีกครั้ง
ใครจะกล้าสบตา ถ้าไซส์จะใหญ่เบอร์นี้
โปรดอย่าสบตาแป๋วๆ คู่นี้
สำหรับผม กอริลลาเป็นสัตว์สวยงามที่น่าเคารพเกรงขาม มัดกล้ามดูแข็งแกร่งทรงพลัง มือที่ใหญ่แสนใหญ่กำลังรวบกิ่งไม้มาเป็นกำ ๆ เพื่อกัดเคี้ยวในกร้วมเดียว แต่สิ่งที่สะกดผมคือแววตาที่แสนอ่อนโยนและเป็นมิตร มันเป็นดวงตาที่ใสบริสุทธิ์ประหนึ่งแววตาของทารก
ผมยังจำได้ดีถึงกฏข้อแรกคือ “ห้ามมองตา” เพราะนั่นคือการท้าทาย สิ่งที่ผมทำได้คือมองดวงตามันผ่านเลนส์ถ่ายภาพที่ผมซูมเข้าไปจนใกล้แสนใกล้ สลับกับการแอบ “ลอบ” ดูด้วยตาเปล่าแบบกลัวว่าน้องลิงจะโกรธ
...นี่เราบินข้ามฟ้ามาเพื่อวันนี้ เพื่อวินาทีนี้....ที่จะได้อยู่กับเจ้าแม้จะเพียงชั่วโมงเดียวเท่านั้นก็ตาม....
ผมจำไม่ได้ว่าถ่ายรูปไปเท่าไหร่ ผมจำได้แต่ว่าถ่ายไปมองไป มันทำอะไรก็ดูน่าสนใจไปทั้งนั้น...
พอเจ้ามิชาย่ากินไปสักพัก ก็เริ่มออกเดิน เราก็ค่อย ๆ ย่องตามมันไป ข้างหน้าเราเริ่มเห็นกอริลลาตัวเมีย 4 ตัวปีนป่ายบนต้นไม้ใหญ่ ด้านลางมีอีกตัว แล้วมีลูกน้อยตัวเล็กนั่งเล่นอยู่ด้วย
เด็กหนึ่งขวบ
เด็ก ๆกำลังเล่นกันสนุก
“นั้นลูกมิชาย่ากับบูคินซี่ อายุขวบเดียว” ฟลอเร็นซ์อธิบาย เจ้าลิงน้อยเหมือนเด็กขี้เล่น วิ่งมาอยู่ตรงหน้าพวกเรา ปีนป่ายต้นไม้แถวนั้น มันก็คงอยากมาดูคนบ้างเหมือนกันเพราะมันมาเดินอยู่ห่างผมเพียงไม่กี่เซนติเมตร
เวลาหนึ่งชั่วโมงหมดลงอย่างรวดเร็ว เมื่อฟลอเร็นซ์และจาวิโรกระซิบเตือน เรารบกวนพวกมันมานานแล้ว ถึงเวลาต้องไปเสียที
ผมพิมพ์ภาพกอริลลาภูเขาที่เห็นอยู่ตรงหน้าไว้ในความทรงจำอีกครั้ง ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสที่แสนวิเศษแบบนี้อีกหรือไม่ในชีวิตนี้

ผมใช้เวลาอีก 4 ชั่วโมง บุกป่าฝ่าดงออกมาจากอุทยานแห่งชาติบวินดิในสภาพโทรมสุด ๆ แต่ใจผมนั้นกลับอิ่มเอมและเต็มตื้นที่ครั้งหนึ่งในชีวิตผมได้มีโอกาสใกล้อยู่ชิดสัตว์ป่าที่ยิ่งใหญ่ สวยงาม ที่มีทั้งความแข็งแกร่งและอ่อนโยน โดยไม่มีพันธนาการใดใดมาขัดขวางเราไว้เลย
ผมหวังว่ากอริลล่าภูเขาจะอยู่รอดปลอดภัยในบ้านของมันตลอดไป และผมหวังว่ามนุษย์จะตระหนักรู้ที่จะดูแลสัตว์ป่าในฐานะเพื่อนร่วมโลก
...วงจรการฆ่าทำลายล้างจงสูญสิ้นไป ไม่ว่ากับลิงกอริลลาภูเขา หรือสัตว์สายพันธุ์ไหนก็ตาม...
