ดูหอศิลป์ของเพื่อนบ้านแล้วย้อนดูตัว
ปีนี้ในแวดวงศิลปะละแวกบ้านเราคงไม่มีงานไหนที่เป็นที่ฮือฮาไปกว่าการแสดงงานครั้งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของ
ยาโยอิ คาซูมะ ที่หอศิลป์แห่งชาติแห่งใหม่ล่าสุดของสิงคโปร์ที่จะมีไปจนถึงวันที่ 3 กันยายนนี้
ความฟินของการจัดงานนี้มีสองส่วน ส่วนแรกคือเป็นการเปิดตัวหอศิลป์แห่งชาติ หรือ National Gallery ของประเทศสิงโปร์ ที่เอาตึกอาคารรัฐสภาเก่ามาดัดแปลงให้เป็นที่แสดงงานศิลป์กิ๊บเก๋ ไม่ต้องเสียเงินภาษีประชานสร้างใหม่ให้หมดเปลืองแต่อย่างใด อีกส่วนคือการที่เราๆ ท่านๆ ในอุษาคเนย์ไม่ต้องถ่อไปถึงนิวยอร์กหรือญี่ปุ่น เพื่อชมงานศิลป์ป๊อปอาร์ตระดับตำนานของโลกอย่าง ยาโยอิ คาซูมะ ในสนนราคาที่เรียกว่าคุ้มสุดคุ้ม

ขอเล่าความเว่อร์วังอลังการและพิสดารสัปดนของศิลปินผู้นี้ก่อน จะได้เข้าใจว่าทำไมมันถึงฟินขนาดนี้ ยาโยอิ ที่ขณะนี้อยู่ในวัย 88 ปี เป็นจิตรกร นักประติมากรรม นักคิด นักเขียน กวี นักแสดง และ influence ตัวแม่ของวงการศิลปะของโลก คุณป้าผมม้าท่านนี้เธอเติบโตในครอบครัวผู้มีอันจะกันในเมืองมัตซึโมโต แม่ของเธอชอบตบตีเธอและใช้ความรุนแรง ส่วนพ่อก็นอกใจแม่ไปมีหญิงอื่นอยู่เสมอ
เมื่ออายุประมาณสิบขวบ ยาโยอิ เริ่มเกิดอาการประสาทหลอน และได้รับการวินิจฉัยว่ามีอาการทางประสาท เธอมักจะเห็นแสงแวบๆ และทุ่งกว้างไกลที่เต็มไป “จุด” นับเป็นจุดเริ่มต้นที่เธอเริ่มวาดรูปที่เต็มไปด้วยจุดเพื่อสื่อถึงภาพในหัวของเธอ เธอเข้าเรียนศิลปะในโรงเรียนที่บ้านเกิดด้วย แต่อึดอัดกับรูปแบบและกฏเกณฑ์แบบญี่ปุ่น จึงหันเข้าหาศิลปะแบบอะวองการ์ดและหลุดโลกตามแบบยุโรปและอเมริกาแทน ในช่วงนี้เธอใช้ชีวิตไปๆ มาๆ ระหว่างญี่ปุ่นและปารีส และย้ายไปอยู่นิวยอร์คอย่างถาวรตั้งแต่อายุ 27 ก่อนจะย้ายกลับมาอยู่บ้านที่ญี่ปุ่นเพื่อรักษาอาการป่วยเมื่อไม่นานมานี้เอง
คุณยาย ยาโยอิ ถือเป็นศิลปินชาวเอเชียที่มีความสำคัญระดับโลก และมีอิทธิพลต่องานของรุ่นใหญ่ระดับตำนานอย่าง แอนดี้ วาร์ฮอล, ไคลส์ โอเดนเบิร์ก และ จอร์จ ซีกัล เคยแสดงงานในงานเทศกาลศิลปะระดับโลกมาแล้วมากมาย และประสบความสำเร็จอย่างมากกับการแสดงงานเดี่ยวของตัวเองมาตั้งแต่ยุค 50 ปัจจุบันเธอยังไม่หยุดสร้างงานศิลปะที่แตกแขนงออกไปมากมาย รวมไปถึงงานอินสตอลเลชั่น, งานคอนเซ็ปชวลอาร์ต, งานคอลลาจ จนไปถึงงานแสดง และงานเขียนที่มักจะท้าทายตัวของเธอเอง และสร้างความแปลกใหม่ให้ผู้ชมได้ อึ้ง ทึ่ง เสียว (และเวียนหัว) อยู่ตลอด
เข้าใจตรงกันแล้วนะว่าการที่สิงคโปร์ได้งานของ ยาโยอิ มาเปิดหอศิลป์มันเป็นอะไรที่ฟินขนาดไหน

ส่วนที่สำคัญที่สุดของนิทรรศการ “Yayoi Kusama: Life is the Heart of a Rainbow” ก็คือความสนุกสำหรับคนดูทุกเพศทุกวัย ตั้งแต่ก่อนจะไปถึงหอศิลป์ ป้ายรถเมล์และทางเดินในบริเวณใกล้เคียงจะถูกประดับไปด้วยลายจุด ภายในยังมีห้องสำรับเด็กเล็กและเยาวชนสามห้อง ที่มีกิจกรรมสนุกๆ สร้างสรรค์จินตาการให้ทำมากมาย ผู้ใหญ่อย่างเราก็สามารถเข้าไปแจมได้สนนราคาค่าเข้าชมก็ 25 ดอลล่าร์สิงคโปร์ และมีการจัดคิวเข้าชมเป็นกลุ่มๆ ด้วยเพื่อป้องกันความแออัดจนพาลหมดสนุกในหอศิลป์ ถ้าจะไปชมในวันเสาร์อาทิตย์ล่ะก็ขอให้เตรียมใจไปนิดนึง เพราะขนาดวันธรรมดายังหนาแน่น
นอกเหนือจากการจัดการภายในส่วนการจัดแสดงแล้ว ที่น่าประทับใจก็คือการสร้างกลุ่มคนดูงานศิลป์ใหม่ๆ ให้กับประเทศตัวเอง นั่นก็คือเด็กๆ และเยาวชนที่จะเป็นผู้สนับสนุนศิลปะต่อไปในอนาคต มันน่าชื่นใจที่ซุ้มขายตั๋วมีตั้งแต่เด็กเล็ก เด็กโต เยาวชน และผู้สูงวัย ที่แต่ละคนยินดีจ่ายเงินซื้อตั๋วเพื่อเสพงานศิลป์ เพราะเห็นความสำคัญของความงามและสุนทรียะ สนับสนุนผลงานสร้างสรรค์ที่กลั่นจากมันสมองของศิลปิน

ตรงนี้เอง ที่ทำให้อดย้อนมองประเทศไทยอันเป็นที่รักของเราไม่ได้ บ้านเราไม่ได้ยากจน มีกำลังเอางานของศิลปินดังๆ มาแสดงได้ไม่ยาก แต่มันจะเกิดขึ้นได้ไหม ในเมื่อคนไทยจำนวนไม่น้อยไม่อยากเสียเงินเข้าไปดูงานศิลป์ เพราะชินกับการดูฟรีเสียแล้ว บ้านเรายังขาดผู้ชมเพราะไม่เคยมีการสนับสนุน เชื้อเชิญ บ่มเพาะความรักและสนใจในศิลปะกันเลยโดยเฉพาะในเด็กๆ การแสดงงานศิลป์ในบ้านเรายังเป็นการจัดกันเอง ดูกันเอง ติชมกันเองในวงแคบๆ
ต้นปีหน้าบ้านเรากำลังจะจัดเบียนนาเลเป็นครั้งแรกที่ถือเป็นเทศกาลศิลปะครั้งยิ่งใหญ่ เราจะไปรอดไหมกับงานระดับโลกขนาดนั้น หากขาดผู้ชมที่ให้การสนับสนุนและเข้าใจ เราลืมกันไปว่าความสำเร็จของงานศิลปวัฒนธรรมไม่ได้มาจากสเกลที่ยิ่งใหญ่ หรือรายได้มหาศาล แต่คือความสุข ความอิ่มเอมใจของผู้ชม
ไม่ว่าคุณจะไปชมงานศิลป์ของใคร ที่ไหน เสียเงินมากน้อย หรือได้ชมฟรีก็ตาม ก็ขอให้คุณพบกับความสุข และแรงบันดาลใจ ที่สำคัญคือความรักและกระสันต์อยากชมงานดีๆ ที่โดนใจอยู่เรื่อยๆ ตลอดไป