แชร์มุมมองแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เราจะมีวิธีสร้างเวลเนสอย่างไรให้มีสุขภาวะ
ทุกวันนี้ สุขภาวะ (well-being) และการมีอายุยืนยาวแบบมีคุณภาพ (Longevity) เป็นเทรนด์ที่ผู้คนหันมาให้ความสำคัญมากขึ้น ทำให้มีการนำศาสตร์ต่างๆ มาใช้หลากหลายวิธี เมื่อเร็วๆ นี้ มีโอกาสไปร่วมกิจกรรมของมูลนิธินโยบายสาธารณะเพื่อสังคมและธรรมาภิบาล ซึ่งเชิญหมอมากประสบการณ์หลายคนมาทอล์กกันเรื่อง "Wellness and Perseverance for Last Well-being" ทำให้เห็นถึงไอเดียและแนวทางการปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์เพื่อให้มีสุขภาวะที่ยั่งยืน
พญ.กอบกาญจน์ ชุณหสวัสดิกุล - หมออ้อม แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์ป้องกัน และผู้อำนวยการ Medpark Well-healing @ One Bangkok อธิบายว่า wellness กับ well-being แตกต่างกัน โดย wellness เป็นกระบวนการหรือการปฏิบัติที่ทุกคนเลือก เพื่อให้เกิด well-being ซึ่งก็คือผลลัพธ์ของสุขภาวะที่ดีที่ทุกคนปรารถนาทั้งความสุขกาย สบายใจ
บางคนมองเป็นเรื่องไกลตัว แต่เราก็มักได้ยินคำพูดที่ว่า "สุขภาพดีไม่มีขาย อยากได้เราต้องทำเอง"
หมออ้อมได้นำเสนอทฤษฎีมาสโลว์อันโด่งดัง (Maslow's hierarchy of needs) ทฤษฎีทางจิตวิทยาที่จัดลำดับขั้นความต้องการของมนุษย์เป็นพีระมิด 5 ขั้น เริ่มจากความต้องการทางกายภาพ (Physiological needs), ความต้องการความปลอดภัย ความมั่นคง (Safety needs), ความต้องการความรัก และการเป็นเจ้าของ (Love and belonging), การเห็นคุณค่าและภาคภูมิใจในตนเอง (Self-esteem) และความต้องการประสบความสำเร็จสูงสุดในชีวิต (Self-actualization) ซึ่งเป็นหนึ่งแนวทางที่ถูกนำมาใช้ทั้งระดับครอบครัวและองค์กร เพื่อให้เกิดสุขภาวะอย่างยั่งยืน
ความต้องการความรักและความเป็นเจ้าของ เป็นขั้นตอนที่สำคัญ เพราะว่าธรรมชาติของมนุษย์นั้นเป็นสัตว์สังคมที่เกิดมาต้องอยู่อย่างพึ่งพาอาศัยกัน ช่วยเหลือกัน การให้ความรักการเอาใจใส่จะส่งผลให้คนมีสุขภาพจิตที่ดี มีจิตใจเต็มอิ่มไปด้วยความรักที่พร้อมจะส่งต่อความรักนั้นไปสู่ผู้คนรอบข้างในสังคมอีกด้วย
ขั้นต่อมาเป็นเรื่องการเห็นคุณค่าและภาคภูมิใจในตัวเอง หมออ้อม บอกว่าถ้าใครมีความภาคภูมิใจตัวเองน้อย เค้าจะไม่รู้ว่าทำสิ่งต่างๆ ไปเพื่ออะไร หรือไม่รู้สึกเป็นเจ้าของแม้แต่ร่างกายของตัวเอง ทุกวันนี้ เด็กเจนใหม่เยอะมากที่มีภาวะซึมเศร้า และร่างกายก็ไม่ค่อยแข็งแรง
ปลดล็อกสร้างการเปลี่ยนแปลง
แม้ว่าไทยจะมียุทธศาสตร์เพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่ 3 ของการพัฒนาเพื่อความยั่งยืน หรือ SDGs คือการสร้างหลักประกันการมีสุขภาวะที่ดี และส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดีสำหรับทุกคนในทุกช่วงวัย แต่แนวโน้มผู้ป่วยโรคไม่ติดต่อเรื้องรังกลับเพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็นโรคเบาหวาน หัวใจ ความดันโลหิตสูง และคนก็ยังกินยากันเยอะ
หมออ้อม บอกว่าที่เป็นแบบนี้ก็เพราะคนเราไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงจากภายใน ฉะนั้น Inner Development Goal ต้องมาค่ะ เหมือนทำอาหาร แม้จะมีสูตรอาหารและเป็นคนทำอาหารในครอบครัว แต่ถ้าไม่มีอารมณ์จะทำ ก็จะไม่อยากทำ ซื้อกินดีกว่า หรือทำเพราะหน้าที่ แต่ไม่มีใจอยากทำ อาหารออกมาก็ไม่อร่อย
การจะทำให้เกิดผลได้ต้องมี Passion มีความชัดเจนภายใน สามารถกำหนดเป้าหมายสุขภาวะของตัวคุณเองได้เพื่อที่จะมีตัวชี้วัด เช่น บางคนเลือกการตรวจสุขภาพ ไม่ใช่เป็นการตรวจแบบทั่วไป แต่เป็น checkup with awareness คือคุณรู้ว่าจะต้องรู้เพื่ออะไร และจะสร้างกลยุทธ์ในการดูแลตัวเองอย่างไร
ถัดไปคือ Thinking เราจะต้องมองสุขภาพที่ไม่ใช่แค่การรักษา แต่เป็นการป้องกันและเชื่องโยงกับประสิทธิภาพการทำงาน (Productivity) เราสามารถเพิ่มพลังชีวิตให้กับคนในบ้านได้ ถ้าเรามีองค์ความรู้ สร้างวัฒนธรรมสุขภาวะได้ เช่น บ้านเราไม่กินหวาน บ้านเราไม่พูดรุนแรง บ้านเราไม่นอนดึก บ้านเราไม่ทะเลาะกัน ไม่ toxic ไม่สูบบุหรี่ เหล่านี้เป็นต้น หรือวัฒนธรรมภายในองค์กร เช่น
องค์กรของเราไม่มีน้ำหวานขายมีแต่น้ำเปล่า เบรคของเราไม่มีขนมหวานมีแต่ผลไม้ เดินขึ้นบันได 3 ชั้นไม่ต้องขึ้นลิฟต์ แบบนี้แล่ะที่ทำให้เกิดความตกลงร่วม (Collaborative Thinking) หรือแม้กระทั่งการจัดทริปไปเที่ยวเป็นครอบครัวก็ออกแบบโปรแกรมดูแลสุขภาพได้ไม่ยาก เรียกว่าเป็น Well-being Lifestyle pogram
หมออ้อม เล่าว่า Medpark Well-Healing Center เป็นเหมือน Strength finder ทางด้านสุขภาพที่มีระบบเช็กลิสต์ผ่านการตรวจแบบ wellness หรือ lifestyle medicine ว่าคนไข้มีจุดอ่อน จุดแข็งตรงไหน และหาจุดที่ต้องปรับปรุงแก้ไข ด้วยการผสมผสานการดูแลรักษา โดยเฉพาะทักษะการนวด ทั้งแพทย์แผนไทย แพทย์แผนจีน นวดเยอรมัน หรือแม้แต่นวดเดรนน้ำเหลือง (Lymphatic Drainage Massage)
หลากหลายวิธีสร้างสุข
รอ.นพ.ยงยุทธ มัยลาภ นายกสมาคมเวชศาสตร์วิถีชีวิตและสุขภาวะไทย (Thai Lifestyle Medicine of Well-being Association) ผู้เชี่ยวชาญด้วยเวชศาสตร์ป้องกัน และมีบทบาทในการรณรงค์เรื่องเวชศาสตร์วิถีชีวิต (Lifestyle Medicine) และสุขภาวะ (Well-being) ให้ข้อคิดที่น่าสนใจว่า คนเราต้องมีการบริหารความเครียด ซึ่งโดยปกติเราก็ต้องมีความเครียดบ้างไม่งั้นเราก็จะประมาท แต่เครียดเยอะไปก็ไม่ดี ทำให้นอนไม่หลับ
สติสำคัญมากในการบริหารจัดการความเครียด ส่วนวิธีทำก็ไม่จำเป็นต้องเกี่ยวข้องกับศาสนาเสมอไป เช่น มหาวิทยาลัยอ็อกฟอร์ด จะมีหลักสูตร Oxford Mindfulness Foundation อยู่ภายใต้มหาวิทยาลัยอ็อกฟอร์ด จะไม่ใช่เป็นการสวดมนต์ แต่จะโฟกัสให้เรามี mindful คือโฟกัสกับตัวเราเอง การบริหารความเครียด เป็นเครื่องมือที่สำคัญที่จะทำให้เราปรับเปลี่ยนพฤติกรรมได้ นอกจากนี้ก็มีการใช้ดนตรีบำบัด ศิลปะบำบัด การแสดงบำบัด หรือแม้กระทั่งสัตว์เลี้ยงบำบัด
Forest Therapy หรือการอาบป่า มีต้นกำเนิดมาจากประเทศญี่ปุ่น ไม่ใช่แค่ช่วยเรื่อง mental health จากความร่มรื่นในป่าเท่านั้น เดี๋ยวนี้มีการค้นพบว่า มีโมเลกุลบางอย่างที่ออกมาจากต้นไม้ เรียกว่า สารไฟตอนไซด์ ซึ่งช่วยกระตุ้นเซลล์ภูมิคุ้มกันในร่างกาย การศึกษาทางการแพทย์พบว่าการใช้เวลาในป่าสามารถเพิ่มระดับเซลล์ ซึ่งช่วยต่อสู้กับไวรัสและเซลล์มะเร็ง ขณะนี้ ญี่ปุ่นกำลังจะสกัด Phytoncides แล้วไปทดลองนอกป่า เพื่อจะดูผลส่งผลอย่างไร ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก ฉะนั้น การเข้าป่าได้อะไรมากกว่าเรื่องของจิตใจ
Museum Therapy ก็เป็นอีกวิธีที่คนให้ความสนใจ การเดินชมมิวเซียมถ้ามีนักบำบัดไปไกด์ให้ด้วย ก็จะช่วยให้เราชื่นชอบความสวยงามของภาพต่างๆ และหากเรามีความพึงพอใจกับความงดงามบางอย่าง แล้ว เราก็จะมีความเข้าอกเข้าใจ (empathy) ความรู้สึกของคนในภาพ
Physical Activity หมายถึง การเคลื่อนไหวร่างกายในอิริยาบถต่างๆ เราไม่ใช้คำว่า ออกกำลังกาย แต่เป็นการเคลื่อนไหวร่างกาย เมื่อไหร่ที่เราหยุดนิ่ง หรือที่ทางการแพทย์เรียกว่า พฤติกรรมการใช้ชีวิตแบบเนือยนิ่ง (Sedentary lifestyle) คือนั่งเฉยๆ ดูทีวี หรือเล่นมือถือเป็นเวลานานหลายชั่วโมง อัตราการเสียชีวิตจะสูง
ถ้าสามารถออกกำลังกายระดับปานกลาง 150 นาทีต่อสัปดาห์ จะดีมาก ถ้าเราจ๊อกกิ้งเบาๆ แล้วยังพูดคุยกับเพื่อนได้ แบบนี้เรียกว่าออกกำลังกายปานกลาง ถ้าคุยไม่ได้เลย ถือว่าหนักเกินไป แต้ถ้าวิ่งไปแล้วร้องเพลงได้ด้วยแบบสบายๆ แสดงว่าเบาเกินไป
นพ.ยงยุทธ ยังแนะอีกว่า การมีสัมพันธภาพที่ดีกับคนรอบตัว (social connectedness) หรือมุมมองเชิงบวก เป็นปัจจัยที่เป็นตัวพยากรณ์ว่าอายุจะยืนและมีความสุขหรือไม่ การมีเพื่อนเป็นสิ่งสำคัญมาก การที่เราพูดคุยกับเพื่อสักคนหนึ่งที่เป็นกัลยาณมิตรที่ดีทุกๆ เช้า จะทำให้ความดันโลหิตลดลง หัวใจเต้นช้าลง และมีความสุข เปรียบเสมือนวิตามินเชิงจิตใจนั่นเอง