จดหมายถึงพอลลีน ในวันครบรอบหนึ่งปีที่รู้จักกัน
วันนี้ปีที่แล้ว ฉันได้พบเพื่อนใหม่ เธอชื่อ "พอลลีน"
จริง ๆ แล้ว ฉันไม่ชอบไปสนามบินเลยแต่เพื่อนคนนี้ ซึ่งเดินทางมาเมืองไทยครั้งแรกในฐานะ “พอลลีน” ขอว่าถ้าว่างก็มานะ เธอไม่รู้ว่าเธอจะเจอนักข่าวหรือจะเจออะไรบ้าง แต่เธอก็บอกว่าจะมีเพื่อนจากกลุ่มเชียร์ไทยพาวเวอร์ องค์กรที่ "พินิจ งามพริ้ง" ก่อตั้งเมื่อหลายปีก่อนมารอรับด้วย
ฉันและ "โอ" ซึ่งเป็นกลุ่มที่ปรึกษาเฉพาะกิจยามเมื่อพอลลีนเจอกระแสข่าวตอนยังอยู่ที่อเมริกา ไปรอเธอและก็ได้พบกับกลุ่มเชียร์ไทยหลายคนที่ไปรอต้อนรับพร้อมเบียร์เย็นๆ ทุกคนดูเหมือนจะดีใจ และตื่นเต้นไม่แพ้คนที่กำลังจะเดินออกมา
เมื่อเธอเดินออกมา กลุ่มเชียร์ไทยก็เริ่มร้องตะโกน “พอลลีน ๆ ๆ “ เสียงห้าวเหมือนยามเชียร์บอล เธอก็ดูจะอาย ๆ ไม่น้อย แต่ลึก ๆ ฉันคิดว่าเธอมีความปลื้มใจในมิตรภาพข้ามเพศข้ามตัวตนของผู้ชายกลุ่มนี้ ฉันเองก็แอบซึ้งอยู่เหมือนกัน
พอลลีน เดินมาในสภาพที่สดชื่นกว่าที่ฉันคิดว่าคนเดินทางไกลจะเป็น เครื่องสำอางบนใบหน้าเธอเป็นไปอย่างธรรมชาติ ริมฝีปากมีสีลิปสติกแดงเรื่อ เธอใส่หมวก ผมสั้นดูเป็นสาวเก๋ ฉันมองเธอด้วยความชื่นชม ทั้งรูปลักษณ์ภายนอก และความแกร่งภายในของการเกิดใหม่ของเธอ จริตจะก้านของเธอนั้นเป็นผู้หญิงมากกว่าฉันเสียอีก ฉันมองเธอให้สัมภาษณ์แล้ว ฉันก็ได้แต่บอกตัวเองว่า “นี่ไง เพื่อนคนใหม่ของฉันที่พินิจมอบให้"
เธอมาถึงสนามบินเป็นเวลาประมาณเที่ยงคืน และจากนั้นเราก็แยกย้ายกัน ฉันแค่จดเบอร์เธอไว้ ให้เธอไปพักผ่อนและค่อยติดต่อกันภายหลัง ต่อจากนั้นเวลาในช่วงแรกของพอลลีน ราวกับการเปิดตัวเพราะมีนัดกับสื่อต่าง ๆ มากมาย ถ้าฉันว่างฉันก็จะไปเป็นเพื่อนเธอ บางครั้งเธอก็ควงคุณแม่ไปด้วย เราไปกันหลายช่อง หลายสำนักมาก แต่โดยความเป็นจริงแล้วเธอเองจัดการทุกอย่างได้หมดอยู่แล้ว เพราะผ่านงานมามากมาย อาจจะหลากหลายกว่าฉันด้วยซ้ำ ซึ่งอยู่แต่ในสายอาชีพสื่อมวลชน แต่ฉันพอเข้าใจว่าในช่วงแรกเธอยังอยากจะมีคนข้าง ๆ ไว้พออุ่นใจ หรือคอยเม้าท์มอยกันบ้างก็ยังดี
ช่วงนั้น เวลามีเบอร์แปลก ๆ โทรมา พวกเขาก็จะเรียกฉันว่า "เลขาคุณพอลลีน" บ้าง "ผู้จัดการคุณพอลลีน" บ้าง เพราะใครโทรมาเธอก็จะบอกว่าให้ติดต่อผู้จัดการ 555 ถ้าฉันขยันฉันก็จะบอกเขาว่าเป็นเพื่อนค่ะ แต่วันไหนยุ่ง ๆ ก็ เลขาได้ ผู้จัดการได้ ว่ามาเลยค่ะ ^ ^
เวลาพอลลีนได้แต่งหน้า สีหน้า แววตาของเธอดูมีความสุขมาก ไม่ใช่เพราะความสวยเท่านั้น ฉันเดาว่าเธอได้รับสิ่งที่เธอร้องหามากว่าค่อนชีวิต คือการได้ใช้ชีวิตแบบผู้หญิง แบบที่ใจเธอแอบเรียกหามาตลอด
แต่สิ่งที่ทำให้เธอมีรอยยิ้ม ในดวงตาคือเวลาที่เธอได้คุยกับลูกสาวตัวเล็ก เวลาว่าง ๆ เธอจะเล่าบทสนทนาของเธอกับลูกให้ฟัง ฉันแอบเห็นแววตายิ้มของเธอ
นอกจากนี้เวลาที่ไปไหนมาไหน แล้วมีคนมาทักแล้วขอถ่ายรูปกับเธอก็ทำให้ตาเธอเป็นประกาย วันหนึ่งเราขึ้น BTS กันมีน้องวัยนักศีกษาเข้ามาถามว่า "พี่พอลลีนหรือเปล่าคะ" เธอตอบว่าใช่แล้วน้องก็ขอถ่ายเซลฟี่กับเธอ แต่ใช่ว่าเธอจะดีใจที่คนจำเธอได้ ฉันเดาเอา (ซึ่งอาจจะผิดก็ได้) ว่าเธอดีใจที่คนยอมรับเธอ อย่างที่เธอเป็น
ช่วงต่อไปหลังจากกระแสข่าวเริ่มซา ๆ พอลลีนก็มีงานได้รับเชิญไปพูดบ้าง ในเวที LGBT ขณะเดียวกันเธอก็ง่วนกับการเปิดร้านอาหาร Pauline’s Kitchen ร่วมกับเพื่อน ๆ หลังจากเปิดร้านอาหาร เพื่อน ๆ จากหลากหลายกลุ่ม ตั้งแต่กลุ่มโรงเรียนมัธยม กลุ่มทำงานบริษัทต่าง ๆ ก็ทยอยกันไปชิมและคุยกับเธอ สลับเปลี่ยนกัน อาหารของพอลลีนอร่อย และจานเด็ดของเธอคือ สปาเก็ตตี้กะเพราเป็ด และสเต็ก ใครไปก็ต้องสั่งทานกัน เธออบเป็ดเอง จ่ายกับข้าวเอง และเทรนคนครัวเอง ทำอาร์ตเวิร์คเอง โปรโมทเอง นอกจากนี้เธอยังจัด cooking class เองอีกด้วย
ฉันได้ไปอุดหนุนเธอที่ร้านหลายครั้ง จนวันหนึ่งเธอโทรมาบอกว่า “จะปิดร้านแล้วนะ”
เราจึงได้คุยกันยาว ๆ
น่าเสียดายที่ร้านของเธอต้องปิดตัวลงเนื่องจากหลายสาเหตุ แต่ฉันนับถือเลือดนักสู้ของเธอ เพราะไม่นานเธอก็เตรียมเปิดร้านพิซซาซึ่งคือร้าน Pizza Arena ที่เมืองทองธานี ที่เธอทำอยู่ทุกวันนี้ ซึ่งฉันก็มีโอกาสได้ไปชิมแล้วเหมือนกัน
เธอบอกว่าร้านนี้บริหารจัดการง่ายเพราะเป็นลักษณะฟาส์ตฟู้ด เธอหิ้วเชฟคม เชฟคู่ใจจากร้านเดิมมาทำพิซซ่าที่นี่ด้วย และเธอมีแผนในใจที่จะเปิดสาขาอีก ขณะเดียวกันเธอก็มีเวลาบริหารจัดการตัวเองมากขึ้น ได้ไปทำกิจกรรมที่เธออยากจะทำ ไม่ว่าจะเป็นการเข้าไปมีส่วนร่วมกับการทำกิจกรรมของกลุ่ม LGBT รวมถึงการให้คำปรึกษากับบรรดาพรรคการเมืองหลาย ๆ พรรคที่อยากจะออกนโยบายเพื่อสร้างความเท่าเทียมของกลุ่มความหลากหลายทางเพศ
ฉันแอบแซวเธอเมื่อได้ยินมาว่ามีพรรคการเมืองสนใจเธอ ว่าฉันอยากให้เธอเป็น สส สาวข้ามเพศคนแรกเหมือนกันนะ แต่อย่าเลย ฉันสงสารเพื่อน เพราะอย่างที่รู้ ๆ การเมืองไทยต้องใช้จ่ายมาก แล้วเรื่องขุดคุ้ยนี่เธออาจจะเหนื่อย (ใจ )
………………..
มาพักหลังครึ่งปีที่ผ่านมา เราไม่ค่อยมีเวลาพูดคุยกันนัก ทุกครั้งที่เจอกันก็คุยกันเรื่องหญิง ๆ ไม่มีเรื่องงานการเหมือนช่วงกำเนิดพอลลีนเท่าไหร่นัก ถ้าไม่เจอกันบางทีฉันก็ไปเปิดดูเธอไลฟ์บนเฟซบุ๊กบ้าง เพื่อดูว่าเพื่อนสบายดีไหม ไปทำอะไรบ้าง
แต่หนึ่งปีที่ผ่านมา ฉันคิดว่าพอลลีนได้ใช้เวลาคุ้มค่า สุดคุ้มในเพศสภาพที่ตัวเองเลือก ความตั้งใจแต่เดิมที่เธอวางแผนไว้อาจจะทำไม่ได้ทั้งหมดเช่นเธอเคยคิดจะเปิดบริการให้คำปรึกษากับ LGBT ด้วยปัจจัยต่างๆ ยังไม่อำนวย แต่กิจกรรมที่ทำหลายๆ อย่างก็ใกล้เคียงกับความตั้งใจที่เธออยากให้คำปรึกษาคนที่กำลังมีปัญหา ด้วยการไปทำกิจกรรม และช่วยงานต่าง ๆ ส่วนอีกงานที่เธอเคยฝันไว้คือการจัดฟุตบอลลีก “กระเทย” ที่ไอเดียแสนจะแจ่ม ก็ยังอยู่ในใจแม้ว่าจังหวะและโอกาสยังไม่มาถึง
อีกโครงการที่ตอนนี้ต้องพับไปก่อนเพราะข้อจำกัดเรื่องเวลา คือหนังสือที่เธอเขียนขึ้นตอนอยู่ที่อเมริกา “รองเท้าที่คับเกิน” ซึ่งหากใครได้อ่านแล้วคงจะต้องเชียร์ให้เธอเขียนต่อเหมือนฉันแน่ ๆ อันนี้ฉันจองเป็นบรรณาธิการเล่มไว้ รอเธอเขียนให้เสร็จ ^^ เมื่อไหร่ก็เหมือนนั้น ฉันว่ามันเป็นงานเขียนที่สวยงาม มีหลายมิติ และมันจะช่วยให้อะไรกับสังคมมากกว่าเรื่องชีวิตคนๆ หนึ่ง
หนึ่งปีที่รู้จักเธอ ฉันเห็นความมีชีวิตชีวา ความเป็นนักสู้ ความมีสีสันของเธอตลอดมา ฉันไม่กล้าจะบอกใครหรอกนะว่าฉันรู้จักเธอดี เพราะในวันนี้ฉันว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดคือการที่เธอได้รู้จักตัวตนของตัวเองดีต่างหาก
ใช้ชีวิตให้คุ้มนะจ๊ะพอลลีน
แด่ปีที่สองของชีวิตเธอ
วีณา